คณะ
นายก
คำ
คณะรัฐมนตรีมีที่มาจากระบบที่ปรึกษาพระมหากษัตริย์อังกฤษในสมัยโบราณซึ่งเรียกว่า คณะองคมนตรี (Privy Council) พระมหากษัตริย์อังกฤษทรงแต่งตั้งที่ปรึกษาเหล่านี้ตามพระราชอัธยาศัย เพื่อช่วยวางนโยบายในการปกครองประเทศ แต่เนื่องจากคณะองคมนตรีหรือที่ปรึกษามักมาจากขุนนางตระกูลสำคัญที่มีอำนาจในแผ่นดินบางครั้งก็มีการแก่งแย่งแข่งขันกันเองในหมู่ที่ปรึกษาหรือบางครั้งก็ขัดแย้งกับพระมหากษัตริย์ คณะองคมนตรีและพระมหากษัตริย์จึงมักมีเรื่องบาดหมางกันอยู่เสมอจนกระทั่งพระมหากษัตริย์บางพระองค์ไม่ทรงปรึกษาหารือกับคณะองคมนตรี
ครั้นถึงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ ความขัดแย้งมีมากขึ้นจนพระมหากษัตริย์บางพระองค์ทรงหันไปปรึกษากับองคมนตรีที่ไว้วางพระทัยเพียงบางคนครั้นสมเด็จพระราชินีนาถแอนน์ (Queen Anne) สวรรคตใน ค.ศ. ๑๗๑๔ เจ้าชายจอร์จ ซึ่งเป็นเจ้าเยอรมันราชวงศ์แฮโนเวอร์ได้เสด็จมาปกครองอังกฤษตามคำกราบทูลเชิญของคณะขุนนางเพราะอังกฤษขาดสมาชิกพระราชวงศ์สายตรงที่จะ ครองราชย์ได้ในขณะที่พระราชวงศ์อื่นก็มีผู้ตั้งข้อรังเกียจต่าง ๆ ไปหมด เจ้าชายจอร์จเป็นเชื้อสายพระญาติที่พอจะครองราชสมบัติอังกฤษได้จึงอภิเษกขึ้นเป็นพระเจ้าจอร์จที่ ๑ (King George I) แห่งอังกฤษ แต่พระองค์ไม่ทรงเอาพระทัยใส่ในกิจการบ้านเมืองของอังกฤษอีกทั้งไม่ทรงสันทัดภาษาอังกฤษด้วยเป็นเหตุให้พระองค์ไม่สามารถบริหารราชการแผ่นดินได้อย่างราบรื่นทำให้บทบาทของคณะองคมนตรีลดลงไปด้วย ทั้งนี้เพราะนอกจากจะเคยขุ่นข้องหมองใจกับกษัตริย์พระองค์ก่อน ๆ อยู่แล้ว ก็ยังจะมีกษัตริย์เชื้อสายเยอรมันที่ตรัสภาษาอังกฤษไม่ได้และไม่สนพระทัยที่จะปกครองบ้านเมืองมาเป็นประมุขอีกด้วยในระยะนี้เองที่คณะเสนาบดีหรือคณะรัฐมนตรีซึ่งแต่เดิมเคยบริหารประเทศภายใต้อำนาจของพระมหากษัตริย์และคณะองคมนตรีกลับกลายเป็นผู้ถือครองอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินแทน โดยในระยะแรก ๆ พระเจ้าจอร์จที่ ๑ ก็เสด็จออกประชุมว่าราชการร่วมกับคณะเสนาบดีด้วยแต่เนื่องจากตรัสภาษาอังกฤษไม่ได้จึงเป็นโอกาสให้ เซอร์รอเบิร์ต วอลโพล (Sir Robert Walpole) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังซึ่งมีความสามารถช่วยให้อังกฤษผ่านพ้นวิกฤติทางการเงินได้และพอจะกราบบังคมทูลเป็นภาษาเยอรมันผสมภาษาละตินได้บ้างเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญอย่างมากจนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าคณะรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีหมายเลข ๑ (Prime Minister) ของอังกฤษซึ่งอีกหลายปีต่อมาตำแหน่งนี้เรียกว่า "นายกรัฐมนตรี" และเป็นที่รู้จักในระบบการเมืองของประเทศต่าง ๆ เกือบทั่วโลก
หลังจากสมัยของวอลโพลแล้วระบบนี้ได้พัฒนาต่อไปอีกมาก จนกระทั่งสภาผู้แทนราษฎรของอังกฤษเห็นว่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งสำคัญที่จะให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตาม พระราชอัธยาศัยไม่ได้อีกแล้ว หากแต่ต้องได้รับความยินยอมจากสภาผู้แทนราษฎรเสียก่อนผู้ที่จะได้รับความยินยอมได้ต้องเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงและมีความสัมพันธ์กับสภาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เช่น เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือเป็นหัวหน้าพรรคที่มีเสียงมากที่สุดในสภาผู้แทนราษฎรหรือมิฉะนั้นก็ได้รับคะแนนเสียงสูงสุดจากการลงมติของสภาผู้แทนราษฎร เป็นต้น
ในประเทศไทยคณะรัฐมนตรีมีที่มาจากคณะเสนาบดีในอดีตสมัยสุโขทัยยังไม่ปรากฏว่ามีคณะบุคคลช่วยในการปกครองหรือไม่ ปรากฏแต่หลักฐานในศิลาจารึกหลักที่ ๑ ว่า มีการปกครองแบบพ่อปกครอง ลูก และให้ราษฎรช่วยกัน "ถือบ้านถือเมือง" ครั้นถึงสมัยอยุธยาจึงเริ่มมีการตั้งตำแหน่งจตุสดมภ์ ๔ ตำแหน่ง คือ เวียง วัง คลัง นา มีเสนาบดีเป็นหัวหน้ารับผิดชอบแต่ละฝ่ายและมีสมุหนายกและสมุหพระกลาโหมเป็นหัวหน้าเสนาบดีสูงขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง แต่บทบาทเน้นหนักไปในทางการเป็นแม่ทัพใหญ่และรับผิดชอบดูแลหัวเมืองฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้เป็นสำคัญ จนกระทั่งถึงสมัยรัตนโกสินทร์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปรับปรุงและจัดระเบียบการปกครองบ้านเมืองใหม่โดยทรงจัดตั้งกระทรวงต่าง ๆ ขึ้น มีเสนาบดีเป็นหัวหน้ากระทรวง มีปลัดทูลฉลองเป็นผู้กลั่นกรองเรื่องและช่วยราชการภายในกระทรวง มีการประชุมเสนาบดีในทำนองการประชุมคณะรัฐมนตรี แต่ไม่มีหัวหน้าคณะเสนาบดีในทำนองนายกรัฐมนตรีเพราะในการประชุมคณะเสนาบดี พระมหากษัตริย์ประทับเป็นประธานเองหรือมิฉะนั้นก็ให้ที่ประชุมเลือกประธานเป็นครั้งคราว การบริหารราชการแผ่นดินโดยระบบคณะเสนาบดีได้ดำเนินมาจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งมีการจัดตั้งคณะองคมนตรีสภาทำหน้าที่ให้คำปรึกษาในการปกครองและการออกกฎหมายทำนองเดียวกับรัฐสภาและมีการจัดตั้งเสนาบดีสภาเป็นที่ประชุมปรึกษาของเสนาบดีทั้งหลาย การบริหารราชการแผ่นดินในอดีตก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงเป็นเรื่องของพระมหากษัตริย์โดยตรง การแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งก็ดี การกำหนดนโยบายในการบริหารก็ดี การควบคุมการบริหารก็ดี เป็นเรื่องตามพระราชอัธยาศัย
เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ แล้วพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามฉบับชั่วคราว พุทธศักราช ๒๔๗๕ อันเป็นรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวฉบับแรกได้กำหนดให้มีคณะบุคคลขึ้นคณะหนึ่ง มีจำนวน ๑๕ คน ทำหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดินเรียกว่า "คณะกรรมการราษฎร" ผู้เป็นหัวหน้าเรียกว่า "ประธานกรรมการราษฎร" ผู้ทำหน้าที่นี้คนแรก คือ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์) ต่อมาเมื่อประกาศใช้รัฐธรรมนูญถาวรฉบับแรก คือ ฉบับวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ แล้ว ตำแหน่งเหล่านี้เรียกใหม่ว่า "คณะรัฐมนตรี" "รัฐมนตรี" และ "นายกรัฐมนตรี" จนถึงบัดนี้