เอชไอวี (ดูในสารานุกรมไทยฯ เล่ม ๒๐ เรื่อง กลุ่มอาการภูมิคุ้มกันเสื่อมหรือโรคเอดส์) สมองอักเสบ กลุ่มอาการไข้เลือดออกเด็งกี่ ไข้หวัดใหญ่ (ดูในสารานุกรมไทยฯ เล่ม ๑๐ เรื่อง โรคติดต่อและโรคเขตร้อน) และตับอักเสบ (ดูในสารานุกรมไทยฯ เล่ม ๑๗ เรื่องโรคตับอักเสบจากไวรัส)
กลุ่มอาการไข้เลือดออกที่จะกล่าวถึงต่อไป ได้แก่ กลุ่มอาการไข้เลือดออกฮันตาน ไข้เลือดออกมาร์บวร์ก ไข้เลือดออกอีโบลา ไข้ลาสสา โรคมือ-เท้า และปากเปื่อย โรคติดเชื้ออีไควน์ มอร์บิลลิไวรัส โรคติดเชื้อลิสสาไวรัสของค้างคาว โรคติดเชื้อ Parvovirus B19 ไข้ผื่นดอกกุหลาบ ตาแดงจากเชื้อไวรัส หัดเยอรมัน และฝีดาษวานร
ไข้เลือดออกนั้นส่วนใหญ่จะเกิดจากเชื้อไวรัส มีเชื้อไวรัสมากกว่าสิบชนิดเป็นตัวก่อโรคแต่ละชนิดมักจะพบในภูมิภาคต่าง ๆ กัน โดยพบแพร่กระจายกว้างบ้าง เฉพาะถิ่นบ้าง การติดต่อมักจะมีพาหะนำโรคเป็นสัตว์บ้าง เช่น แมลง และวงจรการติดต่อเป็นแบบชีวภาพคือ เชื้อไวรัสจะต้องการช่วงเวลาหนึ่งที่จะเพิ่มจำนวนในพาหะนั้น ๆ ก่อน จึงจะแพร่ต่อไปได้ด้วยเหตุนี้เองจึงแบ่งไข้เลือดออกเป็นกลุ่ม ๆ ตามประเภทของพาหะนำโรค ดังนี้
๑. ไข้เลือดออกชนิดที่มียุงเป็นพาหะ
ไข้เลือดออกเด็งกี่ (Dengue hemorrhagic fever) ซึ่งเป็นชนิดที่พบในประเทศไทย ในอเชียอาคเนย์ และในแถบแคริบเบียน
ไข้เหลือง (yellow fever) ซึ่งพบอยู่ในบางอาณาบริเวณของอเมริกาใต้ แอฟริกาใต้ และแอฟริกากลาง ซึ่งนอกจากตัวจะเหลืองหรือที่เรียกว่า ดีซ่าน จากการที่โรคไปทำให้ตับอักเสบแล้วยังจะทำให้มีเลือดออกที่ใต้ผิวหนังและตามอวัยวะต่าง ๆ ได้ด้วย
ไข้เลือดออกริฟท์แวลเลย์ (Rift Valley fever) ในแอฟริกาก็มียุงเป็นพาหะ
๒. ไข้เลือดออกชนิดที่มีเห็บเป็นพาหะ
โรคนี้พบได้ทั้งในบริเวณแหลมไครเมียและในแอฟริกาจึงเรียกชื่อโรคว่า "ไครเมียน - คองโก โฮโมเรยิค ฟีเวอร์" (Crimean-Congo hemorrhagic fever) หรือไข้เลือดออกไครเมียน - คองโก
ไข้ออมสก์ (Omsk hemorrhagic fever) พบในรัสเซีย
ไข้ป่าคีอาซานูร์ (Kyasanur forest disease) ในอินเดียมีเห็บเป็นพาหะ
๓. ไข้เลือดออกชนิดที่มีสัตว์แทะเป็นพาหะ
สัตว์แทะที่เป็นพาหะมักจะเป็นพวกหนูนานาชนิด เช่น หนูนา หนูบ้าน หนูป่า หนูเดียร์ สัตว์แทะพวกนี้ จะติดเชื้อไวรัสแบบเรื่อรังและสัตว์แทะที่มีเชื้อมักจะไม่เป็นโรค เมื่อเพ่นพานไปมาก็ปล่อยเชื้อออกทางน้ำลาย มูล และเยี่ยว สัตว์แทะจึงเป็นทั้งพาหะและเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคเอาไว้แพร่ต่อไป
ไข้เลือดออกเกาหลี (Korean hemorrhagic fever) ที่เกิดจากเชื้อฮันตาน (Hantaan virus)
ไข้เลือดออกจูนิน (Junin virus) ที่พบในอาร์เจนตินา
ไข้เลือดออกโบลิเวีย (Bolivian hemorrhagic fever) ที่เกิดจากไวรัสมาชูโบ (Machupo virus)
ไข้เลือดออกลาสสา (Lassa fever) ในแอฟริกา จะมีพวกหนูเป็นพาหะทั้งสิ้น
๔. ไข้เลือดออกชนิดที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ แน่ชัดว่ามีสัตว์ชนิดใดเป็นพาหะ
โรคที่เกิด ได้แก่ ไข้อีโบลา (Ebola fever) และไข้มาร์กบัวร์ก (Marburg fever) ทั้งสองโรคนี้ แพร่อยู่ในแอฟริกา เป็นต้น
ไวรัสฮันตานนั้นติดต่อจากสัตว์แทะแพร่มาสู่คนทางน้ำลาย มูล และเยี่ยว โดยคนสูดหายใจเข้าไปแต่ยังไม่พบว่าติดต่อจากคนที่เป็นโรคไปยังคนอื่นได้โดยตรง โรคไข้เลือดออกเกาหลีนั้นอาจจะมีอาการอ่อน ๆ คือ มีไข้คล้าย ๆ ไข้หวัดใหญ่ สำหรับรายที่ติดเชื้อไวรัสฮันตานและมีอาการรุนแรง จะมีอาการเป็น ๓ ลักษณะ ดังนี้
๑. ไข้เลือดออกที่มีอาการทางไต
อาการของโรคนี้จะ มีไข้สูงปวดเมื่อยตามเนื้อตามตัว มีเลือดออกใต้ผิวหนัง ออกที่ตาขาวจนตาแดงเป็นปื้น และบวมตามตัว ซึ่งเกิดจากไตอักเสบร่วมด้วยอาการแบบนี้เป็นลักษณะที่พบในเกาหลี จีน และประเทศอื่น ๆ ในเอเซีย
๒. ไข้และมีอาการทางไต
ลักษณะนี้พบอยู่ทางกลุ่มสแกนดิเนเวีย อาการอ่อนกว่าลักษณะแรกและไม่ค่อยมีเลือดออก
๓. ไข้และอาการทางปอด
คือมีไข้และปอดบวม ไม่มีเลือดออก ลักษณะนี้เพิ่งจะพบว่าระบาดในสหรัฐอเมริกาเมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๓๗ และมีอัตราการตายสูงมากถึง ๗๐ % ถ้ามีภาวะทางระบาดวิทยาที่พอเหมาะ เช่น หนูชุกชุมขึ้น คนอยู่กันแออัดมากขึ้น มีการเคลื่อนย้ายประชากร จากชนบทเข้าเมืองมากขึ้น คนบุกรุกป่ามากขึ้น หนูย้ายถิ่นฐานมาก และมีภูมิอากาศที่เหมาะสม โรคไข้เลือดออกเกาหลีจะสามารถระบาดได้ง่ายขึ้นรวมทั้งในประเทศไทยด้วย จากการสำรวจทางวิทยาการระบาดก็พบว่ามีการติดเชื้อไวรัสฮันตานนี้แล้วประปรายในประเทศไทย
มีรายงานโรคครั้งแรกจากเมืองมาร์บวร์กสหพันธ์รัฐเยอรมนีเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๐ โดยมีรายงานว่าพนักงานประจำห้องทดลองและสัตวแพทย์ติดเชื้อจากลิงเขียวแอฟริกัน (African green monkey) ที่นำเข้าจากประเทศยูกันดา เพื่อนำเนื้อเยื่อไปเพาะผลิตวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ ในครั้งนั้นมีผู้ติดเชื้อ ๓๑ คน และตาย ๗ คน ระยะฟักตัวประมาณ ๑ สัปดาห์ อาการที่สำคัญคือ มีไข้ ปวดศีรษะ ปวดตามตัว มีเลือดออก ใต้ผิวหนัง อาเจียน ถ่ายอุจจาระเป็นเลือดและช็อกในที่สุดก็เสียชีวิต มีรายงานโรคเพิ่มเติมจากนครแฟรงค์เฟิร์ตและจากประเทศยูโกสลาเวียด้วย โรคนี้ไม่พบในลักษณะการระบาดใหญ่ สาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัสในวงศ์ ฟิโลวิริเดอี (Filoviridae) เช่นกัน มีชื่อว่า ไวรัสมาร์บวร์ก (Marburg virus) ยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคขณะนี้รักษาได้โดยยาไรบาวิริน โรคนี้อุบัติขึ้นจากการนำเอาลิงจากแอฟริกาส่งเข้าไปจำหน่ายในยุโรป
โรคไข้เลือดออกอีโบลา มีรายงานการระบาดครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙ ที่ประเทศ ซูดาน และซาอีร์ ระยะฟักตัวประมาณ ๑ - ๒ สัปดาห์ อาการที่สำคัญคือผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูงอย่างเฉียบพลัน ปวดศีรษะมาก ตาพร่ามัว อาเจียน ต่อมาจะมีผื่นขึ้นตามตัว มีจุดเลือดออกหรือมีจ้ำห้อเลือดใต้ผิวหนัง และมีการตกเลือดตามอวัยวะภายในต่าง ๆ ได้แก่ ตับ ไต กระเพาะอาหาร และลำไส้ ซึ่งมีผลทำให้ช็อก ผู้ป่วยจึงเสียชีวิตในระยะเวลารวดเร็วในอัตราป่วยตายตั้งแต่ร้อยละ ๓๐ จนถึงร้อยละ ๘๐ การระบาดในระยะเริ่มต้นมีรายงานเฉพาะใน ๒ ประเทศนั้น แต่ต่อมามีการระบาดซ้ำอีกหลายครั้ง ทั้งในประเทศซาอีร์และประเทศอื่น ๆ ในทวีปแอฟริกา ต้นเหตุของโรคเป็นเชื้อไวรัสอยู่ในวงศ์ฟิโลวิริเดอี (Family : Filovirdae) ชื่อไวรัส อีโบลา (Ebola virus) มีอยู่ ๓ สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์ซูดาน (Sudan หรือ S strain) สายพันธุ์ซาอีร์ (Zaire หรือ Z strain) และล่าสุดแยกได้จากลิงที่ส่งไปจากฟิลิปปินส์และไปล้มป่วยเป็นจำนวนมากที่สถานีกักกันลิง เมืองเรสตัน สหรัฐอเมริกา จึงเรียกว่าสายพันธุ์เรสตัน (Reston หรือ R strain) สายพันธุ์หลังนี้ทำให้คนเลี้ยงลิงที่อยู่ใกล้ชิดติดเชื้อแต่ไม่ป่วยเป็นโรค ส่วนอีกสองสายพันธุ์นั้นเป็นสายพันธุ์ก่อโรคในมนุษย์ยังไม่ทราบต้นเหตุของการระบาดเป็นครั้งแรกแต่เข้าใจว่าไวรัสคงจะอยู่ในลิง การแพร่โรคสามารถแพร่จากผู้ป่วยไปสู่คนอื่นได้ ขณะนี้ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน การรักษาสามารถใช้ยาไรบาวิรินรักษาได้ โรคนี้ยังไม่มีรายงานการติดโรคจากประเทศนอกทวีปแอฟริกา โรคนี้คงอุบัติขึ้นเนื่องจากความแห้งแล้งและความอดอยากของลิงทำให้ลิงเข้าสู่หมู่บ้านและอาจเกิดจากคนจับลิงมาฆ่าเป็นอาหาร การอุบัติของโรคที่เรสตันเกิดจากการส่งลิงจากประเทศฟิลิปินส์ไปจำหน่าย
มีรายงานโรคครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๒ จากประเทศไนจีเรีย ระยะฟักตัวประมาณ ๒ - ๓ สัปดาห์ อาจสั้นเพียง ๔ วัน หรือนานว่า ๑ เดือน อาการเริ่มแรกคือจะมีไข้สูงแบบเฉียบพลันปวดศีรษะ ปวดตามตัว มีแผลในปากใน คอ ปอดบวมน้ำ มีน้ำในช่องเยื่อหุ่มปอด มีผื่นตามตัว มีจุดเลือดออกใต้ผิวหนัง ในปัสสาวะมีโปรตีน มีเลือดออกจากทางเดินอาหาร เม็ด เลือดขาวต่ำ เกล็ดเลือดต่ำ โรคนี้เกิดจากไวรัส ลาสสา (Lassa virus) ระบาดได้ทั้งในชนบทและเขตเมืองโดยมีหนูเป็นพาหะของโรค อัตราการตายสูงถึง ๒๐% พบเฉพาะในแอฟริกา โรคนี้เกิดจากมีหนูชุกชุมขึ้นในหมู่บ้านเนื่องจากการ จัดการสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อมไม่ดี
โรคนี้มีรายงานเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๒ จากรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยเด็กที่ป่วยมีอาการสมองอักเสบและเยื่อหุ้มสมองอักเสบ อีกสามปีต่อมาจึงมีรายงานโรคจากนอกเขตรัฐแคลิฟอร์เนีย มักเป็นกับเด็กอายุต่ำกว่า ๖ ขวบ โรคนี้มีระยะฟักตัว ๓ - ๖ วัน เริ่มแรกจะมีไข้นำก่อนสองสามวันแล้วจึงมีอาการทางสมองอาจมีอาการอัมพาตคล้ายโปลิโอตามมา อาการที่สำคัญคือจะมีตุ่มพองที่มือ เท้า และในปาก มีผื่นนูนแดงตามผิวหนัง มีอาการของกล้ามเนื้อ หัวใจอักเสบ ปลายประสาทอักเสบหลายตำแหน่งอาจมีอาการทางระบบหายใจคือหวัดร่วมด้วย ปัจจุบันพบโรคนี้ระบาดประปรายทั่วโลก ต้นเหตุของโรคคือ ไวรัสเอ็นเตโรไวรัส ๗๑ (enterovirus 71) การระบาดครั้งสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ที่ซาราวัดประเทศมาเลเซียและใน ปี พ.ศ. ๒๕๔๑ ระบาดที่ไต้หวัน โรคนี้ยังไม่มียารักษาและไม่มีวัคซีนป้องกัน ไม่ทราบว่าโรคนี้อุบัติขึ้นจากสาเหตุใดและมีอะไรเป็นปัจจัยที่สำคัญเข้าใจว่าจะเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม
มีรายงานโรคเป็นครั้งแรกในประเทศออสเตรเลียเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๗ ไวรัสที่ก่อโรคเรียกชื่อว่า Equine morbillivirus เป็นไวรัสที่อยู่ในจีนัสเดียวกันกับไวรัสก่อโรคหัดในคน โดยเกิดการระบาดในม้าก่อน ม้าจะป่วยด้วยโรคระบบหายใจ ปอดบวม และล้ม คนติดโรคจากการสัมผัสกับสิ่งคัดหลั่งและน้ำมูกของม้าที่เจ็บ ในคนจะมีระยะฟักตัวประมาณ ๑ - ๒ สัปดาห์ อาจมีอาการปอดบวมหรือสมองอักเสบ ทั้งในม้าและในคนมีอัตราการตายสูง โรคนี้มีบ่าง (Pteropus flying fox) เป็นตัวนำโรคไปสู่ม้า ยังไม่มีวิธีรักษาและไม่มีวัคซีนป้องกันโรค ขณะนี้มีรายงานจากออสเตรเลียเพียงประเทศเดียว โรคนี้เกิดจากมีค้างคาวหรือบ่างซึ่งเป็นพาหะของโรคมากขึ้น
เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่สัมพันธ์ใกล้ชิดกับไวรัสโรคพิษสุนัขบ้า เรียกชื่อว่า lyssa bat virus ระยะฟักตัวประมาณหนึ่งเดือนถึงหลายเดือน การติดเชื้อทำให้เป็นโรคคล้ายโรคพิษสุนักบ้าในคนและทำให้ตายได้เช่นกัน ติดโรคโดยถูกค้างคาวกัดหรือข่วน มีรายงานจากทวีปยุโรปเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๘ และมีรายงานล่าสุดจากประเทศออสเตรเลียว่าเกิดในคนที่ถูกบ่าง (pteropus flying fox) ข่วน เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๙ ยังไม่มีวิธีการรักษาโรค หากไปสัมผัส (ถูกค้างคาวหรือบ่างกัดหรือข่วน) ให้ปฏิบัติทำนองเดียวกับการป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ทั้งนี้รวมทั้งการฉีดวัคซีนแบบหลังสัมผัสโรคโดยฉีดให้ครบชุดก็จะสามารถป้องกันโรคนี้ได้ โรคนี้เกิดจากการที่มีค้างคาวซึ่งเป็นพาหะนำโรคชุกชุมขึ้น
ไวรัสดีเอ็นเอขนาดเล็กนี้พบครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๒ เชื้อนี้ทำให้เกิดโรคหลายโรค ได้แก่ ไข้ออกผื่นในเด็กที่มีชื่อว่า Erythema infectiosa หรือ fifth disease ระยะฟักตัวประมาณ ๑ สัปดาห์ ผู้ป่วยจะมีอาการหวัด เจ็บคอ มีผื่น ปวดท้อง มีการทำลายเม็ดเลือดอย่างรุนแรงและรวดเร็ว จนกลายเป็นโลหิตจางแบบอะพลาสติก พบบ่อยในเด็กวัยเรียนและมักระบาดในโรงเรียน ติดต่อกันทางระบบหายใจ การอยู่ใกล้ชิดกัน ติดจากผู้ป่วยไปสู่คนอื่นได้ หากมีการติดเชื้อตั้งแต่อยู่ในครรภ์ทารกจะตายก่อนคลอด (คือการคลอด เอาเด็กที่ตายแล้วออกมา) ขณะมีไข้จะมีผื่นเกิดขึ้นมักเกิดที่แขนขา ไม่ค่อยเกิดตามลำตัว ผื่นที่เกิดขึ้นที่หน้าจะเป็นผื่นแดงคล้ายโดยตบหน้าแต่รอบ ๆ ปากจะไม่มีผื่น โรคนี้พบว่ามีการระบาดประปรายทั่วโลก โรค Erythema infectiosa เป็นโรคที่รู้จักกันมานานแล้วแต่เชื้อก่อโรคเพิ่งจะเป็นที่รู้จักกัน
โรคนี้เป็นโรคที่รู้จักกันมานานแล้วเกิดกับทารกและเด็กเล็กมีชื่อพ้องคือ Exanthem subitum ระยะฟักตัว ๑๐ - ๑๕ วัน แต่เพิ่งจะพบต้นเหตุของโรคว่าเป็นเชื้อไวรัสเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๑ คือ Herpesvirus type 6 เด็กจะมีไข้ ๓ - ๕ วัน ขณะที่ไข้ขึ้นสูงอาจชักโดยทั่วไปจะมีอาการหวัด ต่อมน้ำเหลืองที่บริเวณข้างคอโต หลังไข้ลดภายใน ๒๔ ชั่วโมง มีผื่นนูนแดงขึ้นตามตัวอาจพบว่ามีสมองอักเสบ เยื่อหุ่มสมองอักเสบด้วย การแพร่ของโรคคือการติดต่อโดยตรงจากผู้ป่วยคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง เป็นแล้วจะหายได้เองและไม่กลับมาเป็นซ้ำอีก โรคนี้เป็นโรคที่เพิ่งจะพบเชื้อซึ่งเป็นต้นเหตุเมื่อไม่นานมานี้แต่ตัวโรคเองรู้จักกันมานานแล้ว
โรคนี้ระบาดเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๒ จากประเทศกานาขณะนี้พบได้ทั่วโลก ระยะฟักตัวสั้นเพียง ๒๔ - ๔๘ ชั่วโมง อาการเริ่มแรกจะมีความรู้สึกคันตา เคืองตา น้ำตาไหล ทนแสงแดดจ้าไม่ได้ อาการเกิดขึ้นโดยปัจจุบันโดยเริ่มที่ตาข้างใดข้างหนึ่งก่อนชั่วระยะเพียงวันเดียวจะลามไปยังตาอีกข้างหนึ่ง ต่อมาจะมีอาการปวดตา ตาแดง มีจุดเลือดออกใต้ตาขาว อาการเลือดออกนี้จะทุเลาไปเองภายใน ๗ - ๑๒ วัน อาการตาอักเสบมักจะเป็นอยู่ประมาณ ๗ วัน โรคนี้มักเกิดขึ้นในลักษณะของอาการระบาดต้นเหตุของโรค ได้แก่ ไวรัส enterovirus 70 และ Coxsackie A 24 Variant ส่วนไวรัส Adenovirus type อาจทำให้ตาแดงได้ แต่มักไม่มีเลือดออกใต้เยื่อบุตาขาว โรคนี้มีรายงานในประเทศไทยเช่นกันแต่ยังไม่ทราบว่าอะไรเป็นปัจจัยทำให้โรคนี้อุบัติขึ้นมาใหม่
มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าโรครูเบลลา เป็นโรคติดเชื้อซึ่งจะติดต่อโดยการสัมผัสกับน้ำมูก น้ำลาย ละอองฝอยของน้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วยจะมีเชื้อซึ่งแพร่ได้ตั้งแต่ ๒ - ๓ วัน ก่อนมีอาการของโรค และแพร่ต่อไปได้อีกประมาณหนึ่งสัปดาห์หลังจากอาการทุเลาแล้ว ระยะฟักตัวของโรคประมาณ ๒ - ๓ สัปดาห์ โรคนี้เป็นโรคที่มีอาการอ่อน ในประเทศไทยพบว่ามีผู้ป่วยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ลักษณะสำคัญของโรคคือ มีไข้ไม่สูงนัก มีน้อย รายที่มีไข้สูงถึง ๔๐ องศาเซลเซียส ไข้จะเป็นอยู่ประมาณ ๑ - ๒ วัน ก็จะมีผื่นนูนขนาดเล็กสีแดงจาง ๆ กระจายตามผิวหนัง แต่ก็อาจรวมกันเป็นปื้นได้ในบางบริเวณ ผื่นจะขึ้นที่ใบหน้า คอ และหลังหู แล้วแพร่กระจายลงไปที่ลำตัวและแขนภายในเวลา ๒๔ ชั่วโมง เมื่อผื่นขึ้นเต็มที่ไข้จะลดอาการจะเริ่มทุเลาผื่นจะเริ่มจางจากหน้าลงไป นอกจากมีไข้และผื่นแล้วจะมีต่อมน้ำเหลืองโตบริเวณหลังหูและท้ายทอยตอนล่าง เมื่อกดจะรู้สึกเจ็บ ต่อมน้ำเหลืองจะโตก่อนจะมีอาการไข้ อาจมีอาการปวดข้อนิ้วมือ ข้อมือ และข้อเท้า ร่วมด้วยก็ได้
ตามปกติโรคนี้เป็นในเด็กแต่ถ้าเป็นในผู้ใหญ่จะมีอาการหนักกว่า คือ มีไข้สูง ปวดเมื่อยตามตัวและปวดตามข้อมาก โรคนี้เป็นแล้วหายได้เองและมีภูมิคุ้มกันอยู่ได้ตลอดชีวิต ถ้าสตรีที่กำลังตั้งครรภ์เพียงไม่กี่เดือนเป็นโรคนี้ทารกจะพิการตั้งแต่กำเนิด เช่น ตาเป็นต้อกระจก ต้อหิน หูหนวก ผนังกั้นหัวใจโหว่ และยังมีความพิการอื่น ๆ อีกหลายประการ โรคนี้มีวัคซีนฉีดป้องกันโดยฉีดเพียงครั้งเดียวก็สามารถป้องกันได้ตลอดชีวิต วินิจฉัยได้จากอาการของโรคและการชันสูตรทางห้องปฏิบัติการ
มีไวรัสอีกชนิดหนึ่งที่อยู่ในสกุลเดียวกันกับไวรัสไข้ทรพิษซึ่งก่อให้เกิดโรคฝีดาษในสัตว์มีอยู่สปีชีส์หนึ่งที่ก่อโรคในลิงทำให้เกิดโรคที่มีชื่อว่า Monkey pox virus โรคนี้อาจติดต่อไปยังคนได้ แต่อาการก็จะอ่อนกว่าไข้ทรพิษหรือฝีดาษแท้ ๆ ไข้ฝีดาษวานรนี้มีรายงานในลักษณะของการระบาดย่อม ๆ ที่มณฑลคาซายโอเรียนทัล (Kasai Oriental) ประเทศซาอีร์ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๓๙ - ๒๕๔๐ โรคนี้ตามปกติจะระบาดอยู่ในลิงในป่าเขตร้อนฝนชุกในแอฟริกากลางและแอฟริกาตะวันตก ไวรัสอาจจะแพร่จากลิงไปสู่คนได้โดยทำให้เกิดโรคคล้าย ๆ ไข้ทรพิษ บางรายมีความรุนแรงจนทำให้เสียชีวิตได้ จากเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๙ จนถึงเดือนสิงหาคมในปีเดียวกันมีผู้ป่วยที่มีอาการของโรคไข้ฝีดาษวานร ๗๑ ราย เสียชีวิต ๖ ราย โรคเกิดขึ้น ๑๓ ตำบล ในประเทศซาอีร์ในเขตคาตาโค-คอมเบ (มีประชากรประมาณ ๑๕,๖๙๘ คน) มณฑลแซนคูรู มณฑลคาซาย- โอเรียนทัล ได้มีการส่งสะเก็ดตุ่มและเลือดของผู้ป่วย ๑๑ รายไปยังห้องชันสูตร ได้ผลยืนยันว่าเป็นไข้ฝีดาษวานรทั้ง ๑๑ ราย โดยได้ส่งไปตรวจที่ศูนย์ควบคุมโรคและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกาที่นครแอตแลนตา มลรัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา ได้มีผู้เชี่ยวชาญเดินทางไปตรวจสอบโรค ณ บริเวณที่มีการระบาด พบว่ามีการติดต่อจากคนไปสู่คนได้ แต่ที่ระบาดในระยะแรกเป็นการแพร่โรคจากสัตว์ไปยังคนเท่านั้น โรคนี้อุบัติขึ้นจากความแห้งแล้งและความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่สามารถกำจัดกวาดล้างไข้ทรพิษ ให้หมดไปจากโลกการปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษจะป้องกันไข้ฝีดาษวานรได้