“เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ” เป็นเหตุการณ์ที่ประชาชนเคลื่อนไหวประท้วงรัฐบาลที่ “พล.อ.สุจินดา คราประยูร” เป็นนายกรัฐมนตรี และต่อต้านการสืบทอดอำนาจของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) นำไปสู่เหตุการณ์ปราบปรามและปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารกับประชาชนผู้ชุมนุม
โดยในคืนวันนี้ "พลตรี จำลอง ศรีเมือง" ได้นำกลุ่มผู้ชุมนุมเคลื่อนจากท้องสนามหลวงมุ่งสู่รัฐสภา ผ่านถนนราชดำเนินกลางเพื่อไปยังหน้าทำเนียบรัฐบาล ตำรวจและทหารได้สกัดการเคลื่อนขบวนของประชาชนไว้ที่เชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ นำไปสู่เหตุการณ์ความรุนแรงระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่ที่ถูกส่งมาควบคุมสถานการณ์ เกิดการต่อสู้ ปะทะกันอย่างยืดเยื้อยาวนานเป็นระยะเวลา 4 วัน 4 คืน และมีการบุกเผาสถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้ง ประชาชนได้รับบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก
"พลตรี จำลอง ศรีเมือง" รวมทั้งนิสิตนักศึกษา ประชาชนนับพันคนถูกจับกุม ในเหตุการณ์นองเลือดครั้งนี้ซึ่งได้รับการขนานนามว่า “เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ”
"เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ" ดำเนินไปจนถึงวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 “พล.อ. สุจินดา คราประยูร” จึงได้ออกพระราชกำหนดนิรโทษกรรมให้แก่ตนเอง และในวันต่อมา 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 จึงได้ประกาศลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมลี้ภัยไปต่างประเทศ จากเหตุการณ์การประท้วงครั้งนี้ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองการปกครองของไทย ให้กลับเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยอีกครั้งหนึ่ง
เหตุการณ์นี้มีมูลเหตุมาจากเหตุการณ์รัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 ซึ่ง รสช. ได้ยึดอำนาจจากรัฐบาลไว้ ซึ่งในขณะนั้นมี “พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ” เป็นนายกรัฐมนตรี โดยให้เหตุผลหลักว่า มีการฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างหนักในรัฐบาล และรัฐบาลพยายามทำลายสถาบันทหาร
ภายหลังการรัฐประหาร รสช. ได้เลือก “นายอานันท์ ปันยารชุน” มาเป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการ และได้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จนเกิดการเลือกตั้งครั้งใหม่ขึ้นอีกครั้ง ผลปรากฏว่า “นายณรงค์ วงศ์วรรณ” หัวหน้าพรรคสามัคคีธรรมได้คะแนนมากที่สุด แต่สุดท้ายไม่สามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้เนื่องจากถูกรัฐบาลของสหรัฐอเมริกาขึ้นบัญชีดำจากความใกล้ชิดกับนักค้ายาเสพติด
“พล.อ.สุจินดา คราประยูร” รองหัวหน้าคณะ รสช. จึงขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีแทน นับเป็นการเสียสัตย์ที่เคยกล่าวไว้ว่าจะไม่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จนได้รับฉายาจากประชาชนว่า “เสียสัตย์เพื่อชาติ" จึงกลายเป็นอีกหนึ่งในชนวนให้ฝ่ายที่คัดค้านรัฐธรรมนูญฉบับนี้ว่าไม่มีความเป็นประชาธิปไตย รวมตัวกันออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองในเวลาต่อมา