928 Views
Favorite
เรื่องและภาพประกอบ: กองบรรณาธิการ
The Street icon
จาก street ที่มีความหมายว่าถนน ทำให้เดาได้ไม่ยากว่าวัฒนธรรมสตรีท (Street culture) นั้น เกิดจากกลุ่มพลเมืองชั้นกลางที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่คล้ายกัน ทั้งความยากจน การใช้ชีวิต การเมือง ความรุนแรงและความเหลื่อมล้ำในสังคม ด้วยแนวคิดที่คล้ายกันจนทำให้เกิดเป็นวัฒนธรรมย่อยขึ้นมา มีการสร้างสรรค์ผลงานเพื่อสื่อสารให้สังคมรับรู้ สร้างแรงกระเพื่อม และแฝงไปด้วยการเรียกร้องสิทธิบางอย่างจากสังคม แต่ทุกอย่างยังอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ในวัฒนธรรมของตนเอง
วัฒนธรรมสตรีทมักตรงข้ามกับภาพของสังคมส่วนใหญ่ ที่มองว่าทุกอย่างมีระเบียบวินัย เป็นไปตามสิ่งที่ควรเป็นจนทำให้ถูกมองว่าเป็นด้านมืด แต่สตรีทไอคอนเหล่านี้ ได้พิสูจน์ฝีมือจนทำให้คนทั่วโลกรู้จัก ยอมรับในความคิดที่นอกเหนือกฎเกณฑ์ในสังคมหลัก หลีกหนีออกนอกกรอบ และสร้างผลงานที่มีอิทธิพลในวงกว้าง จนกลายเป็นที่รู้จักในสาขาต่าง ๆ ทั้งศิลปะ แฟชั่น เพลง และกีฬา
Graffiti
BANKSY , KING OF STREET ART
ในวงการศิลปะไม่มีใครไม่รู้จัก Banksy ศิลปิน graffiti ที่ยังไม่มีใครเคยเห็นหน้า ด้วยเทคนิคการพ่นเฉพาะตัวที่ใช้การตัดกระดาษเพื่อทำเป็นบล็อกเตรียมมาก่อนแล้วใช้สีสเปรย์พ่น (Stencil) และเน้นการลงสีขาว-ดำ แล้วยังโดดเด่นในเรื่องของเนื้อหาที่เสียดสีสังคม มุกตลกร้าย จนสามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับสังคมได้ มักใช้ภาพ หนู เด็ก ผู้หญิง ตำรวจ และทหาร เป็นตัวแทนในการเล่าเรื่อง
อย่างภาพหนูท่อสีดำ หน้าตาเจ้าเล่ห์แสดงท่าทางเลียนแบบพฤติกรรมคน Banksy ใช้หนูเป็นตัวแทนของชนชั้นกลางเพื่อสื่อความหมาย เสียดสีสังคมในลอนดอนที่ผู้คนต่างแข่งขัน รีบเร่งและเอาตัวรอด เป็นผลงานที่สร้างชื่อและทำให้ Banksy เป็นที่รู้จัก
"ชู้" หนึ่งในผลงานที่โด่งดังที่สุดของ Banksy ภาพชู้ที่ห้อยอยู่นอกหน้าต่างเมื่อสามีกลับมา บนผนังตึกคลินิกโรคติดต่อทางเพศในเมืองบริสตอล แฝงความจิกกัดพฤติกรรมในสังคมได้อย่างเจ็บแสบ จนชาวอังกฤษโหวตไม่ให้ภาพถูกทาสีทับ
อีกหนึ่งโปรเจ็กต์ของ Banksy ในฐานะโปรดิวเซอร์ที่ประสบความสำเร็จ คือ "Dismaland" ประเทศอังกฤษ นิทรรศการล่าสุดของเขา ที่ทำออกมาในรูปแบบสวนสนุก จากการร่วมมือกับศิลปินจำนวนมาก ซึ่งงานนี้มีเจ้าหน้าที่เทศบาลเพียง 4 คนเท่านั้นที่ทราบถึงการสร้างสวนสนุกนี้ โดยภายในนิทรรศการเต็มไปด้วยงานศิลปะ ด้วยคอนเซ็ปต์เสียดสีสังคมและพฤติกรรมบริโภคนิยม ที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา โดยงานนี้จำกัดตั๋วเพียงวันละ 4,000 ใบเท่านั้น ซึ่งได้รับความสนใจจากคนจำนวนมาก
Fashion
Supreme
แฟชั่นเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนวัฒนธรรม และเป็นตัวบ่งบอกฐานะ รสนิยม ในทุกยุคทุกสมัย ซึ่ง Streetwear ก็เป็นเครื่องมือหนึ่งของชาวสตรีท และชาวสเก็ตบอร์ดทั้งหลาย
เว็บไซต์ The Business of Fashion ขนานนามให้ Supreme เป็น "the Chanel of Downtown Streetwear." ชึ่งก่อตั้งโดย James Jebbia ชาวอังกฤษ ที่เริ่มจากการเปิดแผงขายเสื้อผ้าและกระเป๋าวินเทจ แต่มีความชื่นชอบในแฟชั่นแนวสตรีทและเสื้อผ้าสำหรับชาวสเก็ตบอร์ด และเขารู้สึกว่าคนกลุ่มนี้ไม่มีเสื้อผ้าเนื้อดี ๆ ดีไซน์เท่ ๆ จึงเกิดไอเดียทำร้านเสื้อแนวนี้ ขึ้นมา
รูปแบบร้านของ Supreme จัดให้มีที่ว่างตรงกลาง เพื่อให้สามารถเล่นสเก็ตบอร์ดได้ จนกลายเป็นที่นิยม ด้วยเสน่ห์ของ Supreme ที่มีความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ตามกระแส และไม่มีขอบเขตใด ๆ โดยมีแรงบันดาลใจมาจาก Street culture และ Pop culture ทำให้สินค้าที่ผลิตออกมามีลักษณะเฉพาะตัว ทั้งเสื้อผ้า และสเก็ตบอร์ด นอกจากนี้ยังมีการออกแบบร่วมกับศิลปิน นักสเก็ตบอร์ด ช่างภาพและดีไซน์เนอร์ระดับโลกอีกด้วย
Music
Crazy Legs, Legend of B-Boy
บีบอย หรือเบรกแดนซ์ สไตล์การเต้นของชาวสตรีท หนึ่งในวัฒนธรรมฮิปฮอป Crazy Legs หรือ Richard Colón บีบอยระดับตำนานชาวอเมริกา ผู้ก่อตั้งกลุ่ม Rock Steady Crew สาขาแมนฮัตตัน เขาได้โชว์สเต็ปการเต้นจนเป็นที่รู้จักในภาพยนตร์เรื่อง Wild Style (1982), Style Wars (1983) และได้ร่วมเต้นในฉากสุดท้ายของหนังดังเรื่อง Flash Dance ขณะที่อายุเพียง 16 ปี หลังจากนั้นเขาได้นำการเต้นฮิปฮอปเข้าสู่ปารีสและลอนดอน โดยเดินทางไปกับกลุ่ม NewYork Rap Tour และยังขึ้นโชว์บนเวทีเต้นรำระดับโลกอีกมากมาย ถือเป็นการยกระดับการเต้นข้างถนนให้เป็นที่ยอมรับสู่เวทีใหญ่ แม้แต่หนังสือ NewYork Time ก็ยังต้องพูดถึง
ในยุคต้น 80's นักวิจารณ์ท่าเต้นหลายคนที่ยกให้ Crazy Legs เป็นนักเต้นที่ยอดเยี่ยม นอกจากนั้นเขายังเป็นผู้คิดค้นท่า Windmills (ท่าที่สองขาหมูนลอยอยู่ในอากาศ) ด้วยความบังเอิญ ปัจจุบันได้กลายเป็นท่าฮิตที่สุดที่บีบอยทุกคนต้องเต้นให้เป็นอีกด้วย
2pac & Biggie Smalls, Legend of Rapper
2pac-Amaru Shakur
Biggie Smalls-Christopher George Latore Wallace
อีกส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมฮิปฮอปคือแร็ป เป็นการร้องคล้ายเสียงพูด แบบมีความหมายและมีจังหวะ โดยบุคคลที่ทำให้แร็ปได้รับความนิยมสูงสุดต้องยกให้ สองราชา Rapperระดับตำนานอย่าง Tupac Amaru Shakur หรือ 2pac และ The Notorious B.I.G. หรือ Biggie Smalls นั่นเอง
"It's all good" แนวคิดของ2pac ตำนานของฝั่ง west cost ที่เปิดใจรับแนวทางใหม่ ๆ เนื้อเพลงส่วนใหญ่พูดถึงการโตมาท่ามกลางความรุนแรง การเหยียดเชื้อชาติ ปัญหาในสังคม และการขัดแย้งกันเองในหมู่ Rapper แต่ถึงอย่างนั้นในแง่ของความสามารถต้องถือว่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์ชั้นเลิศ สามารถแร๊ปได้ทุกจังหวะ และมีอิทธิพลต่อผู้ฟังยุคนั้นมากที่สุด
ส่วนตำนานของฝั่ง east cost ผู้ยึดถือแนวคิด "Keep it real" Biggie Smalls หรืออีกชื่อที่รู้จักกันคือ The Notorious B.I.G. ผู้ยึดแนวเพลงแบบเก่า เขาเติบโตมาในยุคที่ยาเสพติดกำลังแพร่กระจาย เขาเป็นอัจฉริยะที่แต่งเพลงได้ตั้งแต่สมัยประถม เป็นนักแต่งเพลงที่ไม่ต้องเขียนเนื้อ เพียงแค่ฟังจังหวะ เขาก็สามารถร่ายเนื้อเพลงออกมาได้เอง เนื้อเพลงของเขามักพูดถึงสภาพสังคมที่เขาอาศัยอยู่ มีเนื้อหาเสียดสีรุนแรง และต่อต้านอำนาจรัฐ จึงเป็นที่ถูกใจคนฟังที่ต้องตกอยู่ในสภาพสังคมเดียวกัน แต่หลายคนก็พูดว่าเนื้อเพลงของเขานี่แหละที่เป็นสาเหตุให้ชีวิตเขาต้องจบลง
Tom Thum, Legend of Beatboxer
Tom Thumอัจฉริยะแห่งวงการ beatbox ชาวออสเตรเลีย ในปี 2005 เขาและคู่หู Joel Turnerชนะการประกวด World Beatbox Championships และในปี 2006 เขาก็ได้รางวัลรองชนะเลิศในงาน Scribble Jam Beatbox Battles ทำให้กลายเป็นที่รู้จักในฐานะมนุษย์เครื่องจักรสร้างเสียงดนตรี ถ้าใครได้ฟังการทำ beatbox ของเขาจะรู้สึกเหมือนว่าเขามีวงซิมโฟนีเครื่องดนตรีแจ๊ส และอุปกรณ์เทคโนแดนซ์อยู่ในลำคอ
ในปี 2013 Thum ได้ขึ้นเวทีของ TEDxSydney เป็นเวลา 11 นาที เขาได้โชว์ทักษะอันน่าทึ่งด้วยการเลียนแบบเสียงต่าง ๆนับไม่ถ้วน แถมยังเหมือนเสียงของเครื่องดนตรีจริง ๆ จนแยกไม่ออก หลังจากจบการแสดงเขาก็เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ด้วยยอดคนดูคลิปวิดีโอถึง 40 ล้านวิว
ปัจจุบัน Thum ได้ขึ้นแสดงร่วมกับวงซิมโฟนีออเคสตร้าหลายครั้ง การแสดงของเขามักมีเรื่องราว แทรกมุกตลก และเข้าใจง่าย ทำให้ดนตรีแนว beatbox ขยายออกสู่แวดวงคนฟังดนตรีทั่วไป
Sport
The Birdman, Legend of Skateboarding
ไอดอลของเหล่าสเก็ตบอร์ด ต้องยกให้ Tony Hawk (Anthony Frank Hawk) ผู้ได้รับฉายาว่า "The Birdman" พรสวรรค์และความสามารถเฉพาะตัวของ Hawk ทำให้เขากลายเป็นนักสเก็ตบอร์ดมืออาชีพ (turn pro) ด้วยอายุเพียง 14 ปี และเมื่ออายุ 16 เขาได้รับการยอมรับให้เป็นนักเล่นสเก็ตบอร์ดที่ยอดเยี่ยมของโลกอีกด้วย
เขาโด่งดังถึงขีดสุดจากการทำท่า "900" (ม้วนหน้าสองรอบครึ่งกลางอากาศ) และลงพื้นได้สำเร็จเป็นคนแรกในการแข่งขัน X-GAMES ปี 1999
หลังการแข่งขัน เขาก็ถอนตัวไม่เข้าร่วมการแข่งขันใด ๆ อีกต่อไป และปี 2002 เขาก็เริ่มต้นก่อตั้งมูลนิธิ Tony Hawk เพื่อช่วยเหลือการสร้างสนามสเก็ตบอร์ด ปัจจุบันเขาสร้างสนามไปถึง 566 ที่ทั่วอเมริกา และบริจาคเงินไปถึง 5.2 ล้านดอลลาร์ ด้วยความยิ่งใหญ่ในทุก ๆ ด้าน ทำให้เขายังคงเป็นขวัญใจของคนทุกเพศทุกวัยไปตลอดกาล
Viki Gomez, King of Ground
"Believe in your dream with your heart and life will give you good thing." คติประจำใจในการดำเนินชีวิตของเขาจากเด็กที่หลงรักหนัง "BMX Bandits" (1983) จนเกิดเป็นแรงผลักดันทำให้ Jorge "Viki" Gomez เป็นนักจักรยานผาดโผนที่ทั่วโลกยอมรับ
ผลของความมุ่งมั่นและฝึกซ้อมทำให้ Viki ได้แชมป์จักรยาน BMX Flatland และครองแชมป์ Asia Championship ติดต่อกัน 2 ครั้งที่ญี่ปุ่น จนได้ฉายา "King of Ground" ที่สำคัญเขาเป็นนักกีฬาที่มีสถิติการแข่งในระดับโลกนานถึง 20 ปี (1995-2015) มีรางวัลการันตีฝีมือมากมาย Viki ยังคงสร้างสรรค์ท่าและเทคนิคในการขี่ BMX ใหม่ ๆ อยู่เสมอ และจากการเดินทางมากกว่า 66 ประเทศ ใน 6 ทวีป ทำให้เขาได้เห็นสถานที่และมุมมองใหม่ ๆ นำมาเสริมและคิดท่าใหม่ ๆ ตลอดเวลา
ข้อมูล
http://thaipublica.org/2013/07/banksy-exit-through-the-gift-shop/
http://www.sneakavilla.net/history-of-supreme/
http://www.stencilrevolution.com/banksy-art-prints/rat-stencil/
http://www.sneakavilla.net/history-of-supreme/
https://en.wikipedia.org/wiki/Crazy_Legs_(dancer)
https://www.ted.com/speakers/tom_thum
https://en.wikipedia.org/wiki/Tony_Hawk
http://tonyhawkfoundation.org/
http://www.vikigomez.com/biography/
http://www.redbull.com/en/bike/athletes/1331574608221/jorge-viki-gomez 
