Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา

Wearing the Future : สวมใส่อนาคต

Posted By Plook Magazine | 26 ก.ย. 57
529 Views

  Favorite

เรื่อง: ศรินทร เอี่ยมแฟง ภาพประกอบ: พลอยขวัญ สุทธารมณ์



ศึกประจำปีระหว่างเจ้าสำนักสมาร์ทโฟนเพิ่งสงบลงได้ไม่นาน หลังจากที่ Apple และ Samsung เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยฝ่ายแรก ชิงตัดหน้าเปิดตัวก่อนหนึ่งสัปดาห์ สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือทั้งสองมาพร้อมกับ wearable device หรือเทคโนโลยีอุปกรณ์สวมใส่ ที่ช่วยการันตีเทรนด์เทคโนโลยีสำหรับปีนี้และปีหน้าว่า เรากำลังเข้าสู่ยุคของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างเทคโนโลยีกับร่างกายมนุษย์แล้ว


จากนี้ต่อไป wearable device ไม่ได้มีประโยชน์เพียงเพื่อความบันเทิง หรือเพื่อบ่งบอกไลฟ์สไตล์เท่ๆ ของคนที่สวมใส่เท่านั้น แต่มันกลายเป็นอุปกรณ์เพิ่มคุณค่าให้ชีวิตของคนธรรมดาและบรรดาสิ่งมีชีวิต แถมดีไซน์ก็เป็น แฟชั่น + ฟังก์ชันมากขึ้น แม้ว่าสำหรับบางคนเทคโนโลยีเหล่านี้อาจเป็นเพียงออปชั่นเสริมที่ไม่สลักสำคัญอะไร แต่ในอีกมุมหนึ่งก็ต้องยอมรับว่าเราไม่สามารถปฏิเสธเทคโนโลยีได้ง่ายๆ เหมือนสมัยก่อนแล้ว

มาดูกันดีกว่าเทคโนโลยีอุปกรณ์สวมใส่แห่งอนาคตที่มีขายกันอยู่ในปัจจุบันทำอะไรได้บ้าง

 


CHECKLIGHT
หมวกสำหรับนักกีฬา Reebok CHECKLIGHT เกิดจากการพัฒนาร่วมกันระหว่าง Reebok และ MC10 เพื่อป้องกันการบาดเจ็บบริเวณศีรษะอันเกิดจากแรงกระแทกระหว่างเกมกีฬา ทำงานด้วยแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ตรวจจับและบันทึกแรงลัพธ์จากอัตราเร่งที่ไม่เปลี่ยนทิศทาง ก่อนนำมาคำนวณความรุนแรง สัญญาณสีเหลืองหมายถึงรุนแรงระดับปานกลาง สีแดงหมายถึงมีความอันตรายสูง กรณีนี้โค้ชผู้ฝึกหรือพ่อแม่สามารถตัดสินใจเข้าช่วยเหลือได้ทันที
เว็บไซต์ http://shop.reebok.com/us/content/checklight
ราคาประมาณ 5,000 บาท

 

Google Glass
"OK, Glass..." คือคำสั่งเริ่มต้นของแว่นตาอัจฉริยะจาก Google ที่ตัวเลนส์แสดงผลเหมือนหน้าจอคอมพิวเตอร์แต่สั่งงานด้วยเสียงเป็นหลัก สามารถค้นหาข้อมูลผ่านกูเกิล เช็คอีเมล โทรเข้าโทรออก แปลภาษา บันทึกวิดีโอหรือถ่ายรูปในมุมมองที่เทียบเท่ากับสายตาเรา และด้วย Google Now ผู้สวมใส่จะได้รับการป้อนข้อมูลที่เหมาะสมในขณะนั้น เช่น รายงานสภาพการจราจร เส้นทาง สภาพอากาศ ตารางเวลานัดหมายต่างๆ
เว็บไซต์ www.google.com/glass/start
ราคาประมาณ 49,000 บาท (ต้องลงทะเบียนใน Glass Explorer Program ก่อน เพื่อให้ Google พิจารณาว่าจะขายให้หรือเปล่า)




Lumo Lift
ใครจะรู้ว่าเข็มกลัดติดเสื้อขนาดเล็กสีสวยๆ นี้คือเทคโนโลยีเสริมบุคลิกภาพของผู้สวมใส่ เพราะมันทำหน้าที่ตรวจสอบความโค้งของกระดูกสันหลัง โดยจะสั่นเตือนเมื่อเราอยู่ในท่าหลังค่อม ทำให้เราขยันยืดไหล่ หลัง และศีรษะในท่าตรง ลดความเสี่ยงของโรคออฟฟิศซินโดรมไปในในตัว อุปกรณ์นี้ยังเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนเพื่อคำนวณการเคลื่อนไหว จำนวนก้าว ระยะทาง และแคลอรี่ในแต่ละวันได้ด้วย
เว็บไซต์ www.lumobodytech.com
ราคาประมาณ 3,300 บาท




Autographer
กล้องสำหรับผู้ป่วยอัลไซเมอร์ หรือโรคความจำเสื่อม พัฒนาขึ้นโดยบริษัท OMG Life ใช้คล้องคอหรือติดกับเสื้อผ้า เพื่อบันทึกภาพสิ่งแวดล้อมในแต่ละวันได้ถึง 2,000 ภาพ กล้องทำงานด้วยระบบเซนเซอร์ของ Microsoft SenseCam และเทคโนโลยี GPS จับความเปลี่ยนแปลงของแสง สี การเคลื่อนไหว ทิศทาง และสถานที่ แล้วถ่ายภาพโดยอัตโนมัติออกมาแบบเลนส์มุมกว้าง หรือบันทึกเป็นวิดีโอแบบสต็อปเฟรม เพื่อให้รูปต่างๆ ช่วยเตือนความทรงจำภายในระยะเวลาสั้นๆ
เว็บไซต์ www.autographer.com/photography
ราคาประมาณ 13,000 บาท




Apple Watch
หลังจากเฝ้ารอกันมานาน Apple ก็ได้ฤกษ์เปิดตัวนาฬิกาอัจฉริยะเรือนแรก ซึ่งมีคุณสมบัติเหมือนกับ iPhone บวกกับสายรัดข้อมือสุขภาพที่มีอยู่ในตลาด โดยมีเซ็นเซอร์ด้านหลังสำหรับวัดการเต้นของหัวใจ การเคลื่อนไหวร่างกาย หรือการออกกำลังกาย ที่พิเศษขึ้นมาอีกนิดคือลูกเล่นน่ารักๆ ระหว่างผู้ใช้งาน Apple Watch ด้วยกัน สามารถสะกิด วาดรูปหากัน ส่งเสียง หรือส่งจังหวะการเต้นของหัวใจให้กันได้
เว็บไซต์ www.apple.com/th/watch
ราคาประมาณ 12,000 บาท (เปิดการขายต้นปี 2015)




WhistleGPS
อุปกรณ์อัจฉริยะลามไปถึงเพื่อนรักของมนุษย์แล้ว New Deal Design บริษัทออกแบบสายรัดข้อมืออัจฉริยะ Fitbit เปิดตัวปลอกคอวัดสุขภาพสุดโมเดิร์นที่ตามติดพฤติกรรมของหมาน้อยตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเดิน กิน เล่น นอน โดยซิงค์อัพเดททางโทรศัพท์ หรือส่งไปให้สัตวแพทย์ดูโดยไม่จำเป็นต้องพาไปคลินิก ที่สำคัญคือมันติดตั้งระบบ GPS ซึ่งแปลว่าถ้าเพื่อนสี่ขาเกิดเล่นซนออกนอกบ้าน เราสามารถตามหาจากตำแหน่งที่อยู่ได้
เว็บไซต์ www.whistle.com/gps
ราคาประมาณ 4,200 บาท




Beddit
แม้จะถอดทุกอย่างแล้วเข้านอนก็ยังมีเตียงนอนอัจฉริยะรองรับอยู่ ด้วยการติดตั้ง Beddit ใต้ผ้าปูเตียงแล้วนอนทับ ระบบเซนเซอร์จะตรวจสอบคุณภาพการนอน เวลาที่ใช้ในการนอน ระยะเวลาที่ตื่นกลางดึก อัตราการเต้นของหัวใจ ระบบหายใจ และการกรน จากนั้นแอพพลิเคชั่นก็จะประมวลผลออกมาในเช้าวันรุ่งขึ้น พร้อมให้คำแนะนำในการนอนให้ดีขึ้นเพื่อการพักผ่อนอย่างเต็มที่
เว็บไซต์ www.beddit.com
ราคาประมาณ 4,800 บาท





The most connected human on Earth
คริส แดนซี่ (Chris Dancy) ชาวอเมริกันวัย 45 ปี ขนานนามตนเองว่าเป็น มนุษย์ที่เชื่อมต่อกับเทคโนโลยีสารสนเทศมากที่สุดในโลก อุปกรณ์ในบ้านเต็มไปด้วยเทคโนโลยีสมาร์ทโฮม และดูเหมือนว่ามันจะยังไม่พอ เขาจึงสวมใส่มันซะเลย ในแต่ละวัน แดนซี่เปิดระบบเซนเซอร์ แอพพลิเคชั่น หรือเครื่องมืออะไรก็ตามที่สามารถประมวลผลการใช้ชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะข้อมูลสุขภาพ รวมๆ แล้ว 300-700 โปรแกรม ซึ่งเขาเชื่อว่ามันช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นจริงๆ

ตัวอย่างอุปกรณ์อัจฉริยะที่เขาใส่ "พร้อมกัน"

• แว่นตาอัจฉริยะ Google Glass
• เข็มกลัดกล้องถ่ายรูป Narrative
• เครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจ Wahoo Blue HR
• สายรัดข้อมือเพื่อสุขภาพ Jawbone UP 24
• สายรัดข้อมือเพื่อสุขภาพ Fitbit
• สายรัดแขนเพื่อสุขภาพ BodyMedia Fit
• เข็มขัดเพื่อสุขภาพ Lumo Back
• นาฬิกา Galaxy Gear
• นาฬิกา Pebble watch
• โทรศัพท์ iPhone 5S
• โทรศัพท์ Galaxy S5

ข้อมูลอ้างอิง
บทความ "The Most Connected Man Is You, Just a Few Years From Now" จาก www.mashable.com
บทความ "Wearable Technology" จาก www.dezeen.com/minifrontiers

เว็บไซต์ทรูปลูกปัญญาดอทคอมเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป
Tags
  • Posted By
  • Plook Magazine
  • 3 Followers
  • Follow