นับแต่โบราณมาจนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) คนไทยเราไม่เคยมีนามสกุลใช้มาก่อน มีเพียงชื่อเรียกเดี่ยว ๆ แถมแต่ละคนยังมีชื่อเรียกซ้ำกันอีกด้วย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) จึงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตรา "พระราชบัญญัติขนานนามสกุล พ.ศ. 2456" ขึ้น โดยออกประกาศในวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2455 ด้วยทรงดำริเห็นว่าคนไทยทุกคนควรจะมีทั้งชื่อตัวและชื่อสกุล เพื่อช่วยกำหนดตัวบุคคลได้แน่นอนกว่าการเรียกชื่อเพียงอย่างเดียว และทรงวางหลักสำคัญในการสืบสกุลไว้โดยถือเอาสายสัมพันธ์ทางบิดาผู้ให้กำเนิดแต่ฝ่ายเดียว
นอกจากการจัดตั้งนามสกุลจะเป็นแนวทางหนึ่งของการจัดระเบียบสังคมตามโลกตะวันตกแล้ว ยังเป็นเครื่องเตือนใจให้เจ้าของสกุลประพฤติแต่สิ่งดีงาม เพื่อรักษาเกียรติของสกุล ตลอดจนเป็นหลักของการสืบเชื้อสาย และก่อให้เกิดความเป็นหมู่คณะด้วย
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ทรงมีพระราชหฤทัยคิดถึง "เจ้าพระยายมราช" ผู้เป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยในสมัยนั้นเป็นคนแรก จึงทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงเจ้าพระยายมราชเป็นการส่วนพระองค์ และพระราชทานนามสกุล"สุขุม" ให้แก่เจ้าพระยายมราช (ปั้น) เป็นสกุลแรก เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2456 ทั้งที่ยังมิได้มีการประกาศใช้ "พระราชบัญญัติขนานนามสกุล" อย่างไรก็ตามในประกาศชุดแรกตามพระราชบัญญัตินี้ นามสกุล"สุขุม" ที่ทรงพระราชทานแด่เจ้าพระยายมราช ก็ได้ถูกแสดงไว้เป็นรายการที่ 1 ด้วย
เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) ได้รับพระราชกระแสให้รีบดำเนินงานขนานนามสกุลแก่ประชาชน โดยให้มีการแบ่งท้องที่ที่จะจดทะเบียนนามสกุลให้ได้ทั่วราชอาณาจักรโดยเร็วที่สุด โดยมีหลักการการตั้งชื่อสกุลดังนี้
•ตั้งตามชื่อของบรรพบุรุษ (ปู่ ย่า ตา หรือยาย)
•ข้าราชการที่มีราชทินนาม มักจะนำราชทินนามมาตั้งเป็นนามสกุลของตน เช่น หลวงพิบูลสงคราม (แปลก) ใช้นามสกุล "พิบูลสงคราม"
•ตั้งตามสถานชื่อตำบลที่อยู่อาศัย
•ชาวไทยเชื้อสายจีนอาจแปลความหมายจาก "แซ่" ของตน หรือใช้คำว่าแซ่นำหน้าชื่อแซ่ หรือใช้ชื่อแซ่นำหน้า หรือสอดแทรกไว้ในนามสกุล
•หม่อมเจ้า หม่อมราชวงศ์ และหม่อมหลวง ใช้นามราชสกุลของตนเป็นนามสกุล แต่ลูกของหม่อมหลวงและต่อไปเป็นหลาน เหลน ใช้นามราชสกุลโดยลำพังไม่ได้ ต้องมีคำว่า "ณ อยุธยา" ต่อท้าย สำหรับเชื้อพระวงศ์
•ห้ามมิให้หญิงตั้งชื่อสกุลของตนเอง ให้ใช้ของบุรุษหัวหน้าครอยครัว หรือญาติฝ่ายชายผู้มีสิทธิ์ใช้ชื่อสกุลร่วมกัน
• ในแผนผังนี้ได้ลำดับไว้เพียง 7 ชั่วคน แต่สามารถขยายนามสกุลออกไปให้ญาติร่วมกันใช้ได้อีก
• ข้อสำคัญอันจะต้องกำหนดไว้ คือ นามสกุลที่จะใช้ร่วมกันได้ จะต้องเป็นผู้ที่สืบสายโลหิตมาจากทางฝ่ายชายเท่านั้น เช่น น้องสาวใช้นามสกุลเดียวกับพี่ชายแต่ถ้าได้สามีแล้วต้องใช้นามสกุลสามีแทน และลูกก็ต้องใช้นามสกุลของพ่อเท่านั้น
•ต้องไม่พ้องหรือมุ่งหมายให้คล้ายกับพระปรมาภิไธย พระนามของพระราชินี
•ต้องไม่พ้องหรือมุ่งให้คล้ายกับราชทินนาม เว้นแต่เป็นราชทินนามของตน ของบุพการี หรือผู้สืบสันดาน
•ต้องไม่ซ้ำกับชื่อสกุลพระราชทานของพระมหากษัตริย์ หรือชื่อสกุลที่ได้จดทะเบียนไว้แล้ว
•ไม่มีคำหรือความหมายหยาบคาย
•มีพยัญชนะไม่เกิน 10 พยัญชนะ เว้นแต่กรณีเป็นราชทินนาม
•ผู้ที่ไม่ได้รับพระราชทานชื่อสกุล ห้ามใช้คำว่า "ณ" นำหน้าชื่อสกุล
•ห้ามเอานามพระมหานคร และศัพท์ที่ใช้เป็นพระปรมาภิไธยมาใช้เป็นชื่อสกุล
นามสกุลพระราชทาน เป็นนามสกุลที่ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อพระองค์จะพระราชทานนามสกุลแก่ผู้ใด พระองค์จะทรงศึกษาให้ทราบถึงความเกี่ยวดองซึ่งกันและกันของแต่ละสกุลโดยละเอียด หากทรงพบว่าบรรพบุรุษได้ทำคุณงามความดีมีวิทยฐานะและอาชีพอะไร ก็จะทรงแปลงคำมาจัดสรรให้ได้มงคลนามต่างๆ ขึ้นให้ไพเราะเหมาะสม