เรื่องและภาพ: ศรินทร เอี่ยมแฟง
น้อยคนจะรู้ว่า “เฟ็ดเฟ่ บอยแบนด์” รายการห่าม ๆ จี๊ดใจวัยรุ่นใน Youtube ที่มียอดคนดูสูงสุดเกือบ 5 ล้านวิว (เฟ็ดเฟ่!) มีหัวหน้าแก๊ง “ต้าร์ เฟ็ดเฟ่” ที่เคยเป็นพนักงานแจกใบปลิว เด็กส่งพิซซ่า คนงานก่อสร้าง หนุ่มโรงงานคัดแยกปีกไก่มาก่อน น้อยยิ่งไปกว่านั้น ชายคนเดียวกันนี้ภายใต้ชื่อ ลิขิต สิทธิพันธุ์ ก็เคยกำกับหนังสั้นได้รางวัลสองปีซ้อน แถมยังเป็นผู้ช่วยผู้กำกับหนังโฆษณาด้วย
อย่าเพิ่งตัดสินหนุ่มหน้าทะเล้นคนนี้ จนกว่าคุณจะได้อ่านบทสัมภาษณ์ที่โคตรฮาและชีวิตที่โคตรดราม่าของเขา
คนอ่านต้องงงแน่ ๆ ว่า ต้าร์ เฟ็ดเฟ่ เนี่ยนะไอดอล
คนเห็นเฟ็ดเฟ่จะเห็นแต่ความตลก ห่าม จัญไร ผมไม่ได้บอกว่าเฟ็ดเฟ่ดังมาก มันคือความบันเทิงเฉพาะกลุ่ม แต่เป็นกลุ่มที่เยอะ ซึ่งคนก็เห็นแต่ในด้านความไร้สาระ ความมีสาระเราก็มีครับ แต่เสียดายที่มันไม่ได้ถ่ายทอด ถ้าได้เปิดเผยชีวิตผม เด็กวัยรุ่นเฮ้ว ๆ ได้รู้แล้วเอาด้านดีไปใช้ก็คงจะดีนะ เด็กวัยรุ่นนี่พ่อแม่เขายังไม่ฟังเลย เขาจะฟังแต่คนที่ชอบ การจะทำให้เขาชอบ ถ้าเราไปบอกว่าน้องต้องเรียนโน่นนี่ ไม่มีใครฟังหรอกครับ แต่ถ้าเราเริ่มจากตลกให้มันชอบเรา พอชอบแล้วเราจะบอกอะไรเขาก็ได้
เวลาไปบรรยายตามมหาวิทยาลัย ผมจะพูดอยู่เรื่องเดียวคือ “การทำงานในสิ่งที่ตัวเองชอบ” มนุษย์คนหนึ่งเกิดมา วิ่งเล่น เรียน เวลาที่เป็นเด็กกับเวลาเรียนเบ็ดเสร็จจบมหาวิทยาลัยตอนอายุ 21 หลังจากนั้นเขาต้องเข้าสู่การทำงาน ดังนั้นชีวิตคนเราส่วนใหญ่จึงอยู่กับการทำงาน และการทำงานก็ทำให้ได้มาซึ่งเงิน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต การได้ทำงานที่ตัวเองชอบมันคือความสุข ความบรรลุของชีวิต เหมือนพวกเราเฟ็ดเฟ่ ทำสิ่งที่ตัวเองชอบ ได้ตังค์ด้วย มันคือการขึ้นสวรรค์ย่อม ๆ ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่
คุณกำลังจะบอกว่าคุณชอบทำหนังโฆษณา
ตั้งแต่ ม.5 ครับ ผมโชคดีที่รู้ก่อน เลยมาถึงได้เร็วกว่าคนอื่น ผมชอบดูหนังฮ่องกง ฝรั่ง ไทย ก็เลยคิดว่าโตขึ้นเราน่าไปทำอาชีพเกี่ยวกับหนัง เปิดโทรทัศน์เจอท่านมุ้ยให้สัมภาษณ์ว่าในอนาคตถ้ามีตำแหน่งนี้วงการหนังไทยจะเจริญก้าวหน้ากว่าประเทศอื่น เฮ้ยอะไรวะ คนเขียนบทหนัง เราก็ไฟลุกโชนเลยครับ ใช่ กูจะเป็นคนเขียนบท เดินไปร้านหนังสือเผื่อมีหนังสือสอนเขียนบทหนัง ผมไม่มีตังค์ซื้อก็นั่งรถเมล์ไปอ่านเทียวไปเทียวมา อ่านเจอว่าถ้าอยากเป็นคนเขียนบทให้อ่านเยอะ ๆ ผมก็อ่านหนังสือไว้ก่อน เขาบอกให้เขียนไดอารี่ ผมก็เขียนไดอารี่ แล้วพัฒนาจากการเขียนไดอารี่มาเป็นเรื่องสั้นเก็บไปเรื่อย ๆ
ตั้งใจสอบเข้านิเทศเลยหรือเปล่า
เขียนบทหนังต้องจุฬาฯ เฟ็ดเฟ่! จะสอบเข้าได้ไหมเนี่ย งั้นเอกชนก็มี ค่าเทอมจะเอาตังค์ที่ไหนไปจ่าย ทีนี้ก็ไปสอบเอนทรานซ์เข้านิเทศลาดกระบัง เลือกเล่น ๆ แค่ไปเอาบรรยากาศ มีสอบความถนัดศิลป์ เราก็ถือดินสอ 2B เข้าไปแท่งเดียว คิดว่าไปวง ๆ ฝน ๆ เข้าไปปุ๊บ เฮ้ย มีวาดรูปด้วยเหรอวะ คนข้าง ๆ หยิบเหมือนกล่องอุปกรณ์ตกปลาขึ้นมา เปิดมา โห นี่มันศึกษาภัณฑ์เคลื่อนที่นี่หว่า ตอนนั้นรู้สึกเฟล ๆ เราตามเขาอยู่ไกลเลยนี่หว่า ก็เลยคิดว่าถ้าเราไม่มีโอกาส ไม่มีเงิน ไม่ได้เรียนเก่ง เราเรียนนอกห้องเรียนเอาก็ได้ ใช้ร้านหนังสือ B2S เซ็นทรัลบางนา เป็นมหาวิทยาลัยของผม เราไม่ท้อและเชื่อมั่นว่าถ้าตั้งใจจริง ต่อให้เรียนไม่ตรงสาย เราก็ทำได้
ต้องหาเงินส่งตัวเองเรียน ทำไมถึงคิดว่าเราต้องเรียน
เรารู้ว่าการศึกษาสำคัญมาก ช่วยอัพเกรดคน อัพเกรดการทำงานได้ เราทำงานพาร์ทไทม์ เสิร์ฟพิซซ่า ถ้ามีวุฒิแค่ ม.6 ต่อให้ขยันแค่ไหนก็ได้แค่เสิร์ฟพิซซ่ากับแจกใบปลิวนี่แหละ สิ่งที่จะยกระดับเราก็คือปริญญาตรี เราเลยทิ้งตรงนี้ไม่ได้ ทุกวันนี้ยังสงสัยคนที่เรียนเอกชนไม่จบ หรือเอนท์ติดไปแล้วเรียนไม่จบ พ่อแม่ก็ให้ตังค์ไปเรียน ทีเราเงินจะกินข้าว เงินค่าเทอมก็ต้องเอาเหงื่อไปแลกมา ถ้าวันนี้ไม่ทำงานพรุ่งนี้ก็ไม่มีตังค์ค่ารถไปเรียน กูเนี่ยโครตลำบากทำไมเรียนจบ เป็นห่วงเด็กเหมือนกันนะ ขนาดทุกอย่างเอื้อให้ยังเรียนไม่จบ แล้วถ้าพ่อแม่มึงตายจะอยู่ยังไง
ทำหนังสั้นได้รางวัล Fat Film สองปีซ้อนมาแล้ว
เรารู้ตัวเร็วว่าชอบอะไรแล้วเราก็ไปให้สุด ที่รามคำแหงผมเรียนข่าว เลยเรียนด้วยตัวเองจากร้านหนังสือร้านนั้นแหละ และจากที่เราดูหนังอยู่ที่บ้าน หลังจากทำงานเสร็จก็จะไปเดินคลองหลอด จะมีหนังที่แนะนำอยู่ในหนังสือที่ผมอ่าน “ร้อยหนังเด็ด” ดูหนังร้อยเรื่อง เรื่องละสามรอบ รอบแรกดูเอาบันเทิง รอบสองเริ่มศึกษา รอบสามก็ทบทวน ดูจบต้องแกะโครงสร้างของหนังเขียนใส่สมุด หนังแนวอะไร พล็อตเรื่องยังไง ทำไมนางเอกต้องทำอย่างนี้ ทำไมพระเอกต้องทำอย่างนี้ แก่นของเรื่องให้อะไร
ตอนประกวดหนัง เราแข่งกับคนที่เราอิจฉาที่เขาได้เรียนนิเทศ วารสาร ฟิล์ม รังสิต ฟิล์ม ม.กรุงเทพ แต่เราชนะ มันน่าจะเกี่ยวกับพลังแฝง บางทีผมอาจจะเป็นแบบ underdog คนที่อยู่ต่ำกว่ามีแรงที่จะพุ่งมากกว่า แค่นึกถึงความยุติธรรม เราขยันขนาดนี้ เราตั้งใจขนาดนี้ ความยุติธรรมมีอยู่จริง การทำดีได้ดีมีอยู่จริง เราไม่ได้ชนะเพราะดวง
ได้งานที่ GTH เพราะหนังประกวด?
ผมไม่ได้เข้า GTH เพราะหนังนะ แต่เพราะผมไปดักรอยกมือไหว้ขอเข้าไปทำงาน แค่บอกว่าผมอยากอยู่ในกองถ่ายครับ ผมขอพี่เอส คมกฤษ ผู้กำกับ “แฟนฉัน” เพราะเขาเคยไปดักรอพี่อุ๋ย นนทรีย์ เราเลยรู้ว่าคนนี้เคยขอโอกาสคนอื่นจนประสบความสำเร็จ ผมขอไปฝึกงานไม่เอาตังค์ เขาให้ทำอะไรก็ทำ ให้ยกของก็ยก ไม่บ่น ยิ้มรับตลอด
ไม่มีอีโก้เลยเหรอ
จะมีได้ไง เราเป็นคนงานก่อสร้าง เป็นหนุ่มโรงงานคัดแยกปีกไก่มาก่อน ที่เราไม่มีอีโก้น่าจะเพราะเรารักกองถ่าย รักหนังจริง ๆ เรารักวงการบันเทิงจริง ๆ เราสนใจแต่งาน เริ่มต้นจากใครใช้ให้ทำอะไรก็ทำ ทำเกินกว่าที่ใช้ด้วย ผู้ใหญ่เห็นก็เรียก เรียกไปเรียกมาก็โดนใช้ในตำแหน่งสูงขึ้น จากอาชีพแรกในกองถ่ายคือเก็บขยะ สุดท้ายก็ไปถึงตัวผู้กำกับ พี่บอล (วิทยา ทองอยู่ยง) อยากได้คนเขียนบท เราก็ “we are the champion” ริบบิ้นตกลงมา ไฟสปอตไลท์ส่องลงมา สิ่งที่เราฝันตั้งแต่อายุ 17 ในที่สุดก็เป็นจริงแล้ว ผมได้เป็นผู้ช่วยเขียนบทหนังเรื่อง “บ้านฉัน ตลกไว้ก่อนพ่อสอนไว้”
ดูท่าจะรุ่งแล้วทำไมตัดสินใจออกจาก GTH
วันที่รู้สึกว่าเราต้องสร้างสรรค์งานที่เป็นตัวเราจริง ๆ เราเรียนหนังจบแล้ว มีวิชาความรู้แล้ว เรามีบทหนังที่เขียนเก็บไว้แล้ว ตัวเรามีความกวนตีน ห่าม ตลกสุดโต่ง เพี้ยนสุดโต่ง แต่ GTH มีความเป็น feel good แล้วเรามาเจอกระแสโซเชียลมีเดีย ก็เลยทำรายการทางยูทูปเป็นช่องของเราเอง ไม่มีใครตัดความคิดเรา
เฟ็ดเฟ่ ตอนแรกทำเป็นงานอดิเรก ผมเป็นผู้ช่วยผู้กำกับโฆษณากับเขียนสคริปต์รายการทีวี แค่งานประจำก็แทบไม่มีเวลานอน มันเหมือนช่วงเริ่มต้นวัยรุ่นอีกครั้ง คือถ้าเราตั้งใจทำให้ดี คนก็ต้องเห็น เราก็ต้องไปรอด มีผู้ใหญ่เห็นแววพาไปเข้าช่องเคเบิลสิ เริ่มจากให้คนดูฟรีนี่แหละ สุดท้ายช่องเคเบิลไม่มีใครเอาเลย แต่เราคุยกันว่าไม่เป็นไร เพราะทำแล้วมีความสุข ได้เล่นกัน ก็เลยทำกันไปเรื่อย เริ่มมียอดวิว มีสปอนเซอร์เข้า
คลิปแรกที่ทำรวมเงินกัน 30 บาท 7 คนได้ 210 บาท เป็นค่าพร็อพ แล้วก็ซื้อข้าวสารมาหุง ปีกไก่มาทอด ทอดไข่เจียว แบ่งกัน มาถึงวันนี้ทุกคนออกจากงานประจำมาทำเฟ็ดเฟ่อย่างเดียว จาก 30 บาทตอนนี้ทุกคนได้เดือนละ 35,000
ยังอยากจะทำอะไรอีก
อยากทำหนัง “เฟ็ดเฟ่ เดอะ มูวี่” เคยคุยไว้สองค่าย ถึงขั้นจะถ่ายอยู่แล้วแต่ก็ยกเลิกไป เพราะคิดว่ายังไม่ถึงเวลา หนังเฟ็ดเฟ่ก็จะทำแบบโจวซิงฉือ ที่มีแก๊งขาประจำ มีโจวซิงฉือกับม่งต๊ะเป็นลูกคู่กัน มีแก๊งไอ้อ้วน วัยรุ่น คนแก่หัวล้าน เล่นประจำด้วยกันทุกเรื่อง และอีกจุดหนึ่งที่สูงกว่าหนังคือการคืนอะไรให้แก่สังคม ได้ส่งแนวคิดดี ๆ บางอย่างกลับไปสู่วัยรุ่นที่ชื่นชอบเรา มีแนวคิดนั้นในการพัฒนาตัวเองจนกลายเป็นคนดี ถึงเวลาพวกผมจะคืนสู่สังคมอย่างสาสมเลย
อะไรที่ทำให้ชีวิตเรามาไกลจนทุกวันนี้
มันเป็นคำตอบที่เชยมาก แต่ผมกล้าสาบานว่ามันทรงพลัง เป็นความจริงและถูกต้อง ที่ผู้ใหญ่พูดไว้ ทุกศาสนาพูดหมด ที่มาถึงทุกวันนี้ได้เพราะทำความดี เป็นคนดี
ผมเริ่มทำดีเพราะพ่อผมบอกไว้ มันจะเหมือนซีนหนังเลยครับ ตอนนั้นผมอายุ 15 ตอนแรกบ้านเราก็มีตังค์ พอถึงวันที่ล้มละลาย วันที่ขายบ้านทิ้ง พ่อเดินมาลาบอกว่าต้าร์ พ่อต้องไปแล้วเพราะเจ้าหนี้กำลังจะตามมา เขาต้องหนีหนี้ไปทำงานต่างจังหวัด ไม่รู้เราจะได้เจอกันเมื่อไหร่ หรือจะมีชีวิตรอดกลับมาเจอหรือเปล่า พ่อต้องขอโทษด้วยที่ดูแลต้าร์มาได้แค่นี้ ต่อจากนี้ต้าร์ก็ต้องยืนหยัดให้ได้ ไอ้เราก็งง อะไรวะ กูเพิ่งอายุ 15 เอง เอางี้แล้วกัน ถ้าต้าร์ไม่รู้จะทำอะไร พ่อขออย่างหนึ่ง ให้เป็นคนดี ให้ทำความดี จากนั้นก็หายไปหลายปีกว่าจะได้เจอ
ความดีคืออะไร กูไม่รู้จะมีตังค์จ่ายค่าเทอมหรือเอาเงินที่ไหนซื้อรองเท้าบอล เล่นเกม ผ่านมาได้สามสี่เดือน พอเราลำบาก เราจำคำพ่อได้ ครั้งแรกที่เอาไอเท็มนั้นมาใช้คือไปกินนอนอยู่บ้านเพื่อน ไอเท็มความดีเราคือกวาดบ้านถูบ้าน ใช้ให้ทำอะไรก็ทำ แบ่งเกมให้เล่น เลี้ยงข้าวเรา เออ ที่พ่อพูดมันได้ผล จากนั้นก็เลยทำอย่างนี้มาตลอด ในแง่ของอีโก้ เหมือนเราไม่มีศักดิ์ศรีนะ แต่เราอย่าไปมองแบบนั้น เราทำความดีด้วยใจไม่ต้องหวังผล เพราะยังไงต้องได้ผลดีอยู่แล้ว
ผมอยากเปลี่ยนทัศนคติคนในสังคมเกี่ยวกับการทำความดี ทำไมคนไม่กล้าพูดว่าตัวเองทำความดี เพราะสังคมอันเหลวแหลกที่ยกย่องแต่ภายนอก พอมีคนพูดว่าผมเป็นคนดี ทำความดี ก็จะโดนแบบว่า เฮ้ย โกหกหรือเปล่า คนเหล่านั้นไปยกย่องคนรวย เพราะคนรวยขับรถสปอร์ต เห็นเลยว่ารวยจริง คนหล่อเห็นหน้าตาเลยว่าหล่อ คนทำความดีเลยไม่อยากเปิดเผย เลยเป็นผลสะท้อนว่าคนเราอยากรวย อยากหน้าตาดี เพราะสังคมยอมรับ
แล้วคุณจะเปลี่ยนแปลงทัศนคตินี้ยังไง
เราต้องเท่ ได้รับการยอมรับ ด้วยการทำความดี อยากให้การทำความดีลามไปถึงพรีเซ็นเตอร์รถมอเตอร์ไซค์ โฟมล้างหน้า แต่ผมไม่รู้จะพูดยังไงกับสินค้าพวกนั้น คุณไม่ได้เอาคนดีจริง เก่งจริง มาเป็นพรีเซ็นเตอร์
“มันเป็นคำตอบที่เชยมาก แต่ผมกล้าสาบานว่ามันทรงพลัง
เป็นความจริงและถูกต้อง ที่ผู้ใหญ่พูดไว้ ทุกศาสนาพูดหมด
ที่มาถึงทุกวันนี้ได้เพราะทำความดี เป็นคนดี”