ในเด็กบางคนอาจโกหกเพื่อเล่นสนุก หรือทดสอบว่าพ่อแม่จะรู้หรือไม่ว่าเขาพูดไม่จริง สำหรับเด็กในวัย 4 ปีขึ้นไป เริ่มมีความคิดเป็นของตัวเอง เริ่มรู้จักอะไรถูกอะไรผิด บางครั้งโกหกเพื่อปิดบังความผิด หรือโยนความผิดนั้นให้พ้นตัวไปเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกลงโทษ แต่การโกหกของเด็กที่เกิดขึ้นบ่อยเกินไป อาจแสดงว่าลูกกำลังมีปัญหาบางอย่าง เช่น ปัญหาทางอารมณ์ และหากมีพฤติกรรมโกหกติดไปจนโต อาจจะมีพฤติกรรมอื่น ๆ ร่วมกับการโกหกอีกหลายอย่าง ทั้งการลักขโมย หลอกลวง ทำลายของสาธารณะ ทำร้ายร่างกายผู้อื่น ซึ่งอาจนำไปสู่การเป็นอาชญากรได้ในที่สุด ดังนั้นเมื่อคุณพ่อคุณแม่สังเกตพบ ควรรีบหาวิธีในการช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของลูกให้ดีขึ้น
เพื่อเวลาที่ลูกทำผิดหรือทำสิ่งไม่ดีลงไป ลูกจะได้กล้าบอกและกล้าปรึกษากับพ่อแม่ แทนที่ลูกจะกลัวความผิดและใช้วิธีการโกหกหรือแก้ปัญหาด้วยวิธีการผิด ๆ
เพราะจะทำให้ลูกหวาดกลัวการถูกลงโทษ ทำให้เวลาที่ลูกทำผิดเขาจะใช้วิธีโกหกหรือปิดบัง เพื่อป้องกันตัวเองจากการถูกลงโทษ ซึ่งหากปล่อยไว้นาน ๆ เด็กอาจใช้วิธีการโกหกเพื่อให้พ้นความผิดติดเป็นนิสัยไปจนโต วิธีที่ดีที่สุดคือการพูดคุยกันด้วยเหตุผล ถามถึงสาเหตุที่ลูกโกหก และหากจำเป็นต้องลงโทษจริง ๆ ควรใช้วิธีอื่นแทนการตีหรือดุด่า เช่น ลดค่าขนม งดการพาไปเที่ยว หรืองดสิ่งที่ลูกชอบ
เพราะจะทำให้ลูกรู้สึกขาดอิสระ หลีกเลี่ยงการซักถามที่แสดงความไม่ไว้ใจลูก หรือกดดันคาดคั้นให้ลูกพูดจนมากเกินไป เด็กอาจจะใช้วิธีการโกหก เพื่อให้พ่อแม่หยุดซักถาม หรือเพื่อหลบหลีกสถานการณ์ต่าง ๆ
ด้วยการไม่พูดโกหกให้ลูกเห็น เพราะลูกอาจเลียนแบบจนติดเป็นนิสัย เพราะเข้าใจผิดว่าการโกหกเป็นเรื่องปกติที่ใคร ๆ ก็สามารถทำได้
เช่น โรคซึมเศร้า บกพร่องทางสติปัญญา หรือมีปัญหาเรื่องภาษา และควรทำความเข้าใจกับเด็กเหล่านี้ ซึ่งบางครั้งการที่เด็กโกหกอาจไม่ได้ตั้งใจ แต่เป็นเพียงเพราะอาการป่วย หากสงสัยว่าลูกมีอาการทางจิต ควรรีบพาไปพบจิตแพทย์เพื่อทำการรักษาอาการโดยเร็ว ไม่เช่นนั้นอาจส่งผลเสียต่อเด็ก เช่น คิดฆ่าตัวตาย หรือทำร้ายตัวเองได้
ภาพปก http://www.babysitting.academy/5-things-you-should-do-when-your-kids-lie/