เมื่อถึงเวลาทำกิจกรรมต่าง ๆ หรือในชีวิตประจำวันเขาก็ต้องการที่จะใช้พลังงานและความสามารถที่มีอย่างเต็มที่ตามพัฒนาการ ซึ่งพฤติกรรมในการแสดงออกของเขาจะเป็นเหมือนการทดลองทำสิ่งต่าง ๆ แบบลองผิดลองถูก เช่น การสำรวจสิ่งรอบตัว การไม่อยู่นิ่ง การค้นรื้อสิ่งของ การทดลองทำอะไรแปลก ๆ ใหม่ ๆ ซึ่งผู้ใหญ่มักจะมองว่าเป็นความซน และแม้ความซนจะเป็นธรรมชาติของเด็กวัยนี้ แต่เด็กหลายคนก็มีอาการซนมากจนคุณพ่อคุณแม่เป็นกังวลว่าจะเป็นอาการของโรคสมาธิสั้นหรือไม่
ซึ่งโรคสมาธิสั้น เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของสมองส่วนหน้า โดยยังไม่พบสาเหตุที่แน่ชัด แต่สามารถสังเกตพฤติกรรมเบื้องต้นได้ โดยเด็กสมาธิสั้นและซนผิดปกติ (Attention Deficit & Hyperactive Disorders) จะมีอาการเด่นชัด 3 ด้านด้วยกัน
เด็กจะไม่สามารถควบคุมและคงสมาธิไว้ได้นาน จึงไม่สามารถทำงานให้เสร็จเป็นชิ้นเป็นอันได้ ไม่สามารถฟังใครพูดจนจบประโยคได้ มักจะทำอะไรครึ่ง ๆ กลาง ๆ ขี้ลืม ชอบทำของหาย เด็กจะมีอาการว่อกแว่กง่าย และเหม่อลอยเมื่อเด็กต้องทำงานที่ตนไม่ค่อยชอบ เช่น การบ้าน หรือนั่งฟังครูสอน
เด็กจะซน ไม่อยู่นิ่ง กระสับกระส่าย ชอบเล่นมือ ขยุกขยิก บิดตัวไปมา ชอบลุกเดินบ่อย หรือวิ่งไปรอบห้อง ชอบแหย่เพื่อน ชอบเล่นแรง ๆ จนเพื่อนไม่อยากเล่นด้วย มักจะเปลี่ยนความสนใจค่อนข้างเร็วและบ่อย
เด็กชอบทำอะไรเร็ว ๆ โต้ตอบทันทีทันใด พูดโพล่ง หรือพูดแทรกผู้อื่น โดยไม่ยั้งคิด ไม่มีความอดทน ไม่สามารถรอคอยสิ่งใดเป็นเวลานาน ๆ ได้ ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบ และมีแนวโน้มที่จะเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย เช่น เดินชนบ่อย ๆ ทำให้มีแผลฟกช้ำดำเขียวบ่อยครั้ง
หากพบว่าลูกมีอาการสมาธิสั้นควรได้รับการบำบัดรักษาที่ถูกต้อง เพราะเมื่อเด็กโตขึ้นอาจมีปัญหาด้านการเรียน พฤติกรรม อารมณ์และสังคมได้ ซึ่งการจะวินิจฉัยว่าเด็กเป็นโรคสมาธิสั้นหรือไม่ ต้องได้รับการตรวจและยืนยันจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็ก