หากร่างกายได้รับไขมันเกินกว่าที่ร่างกายต้องการนำไปใช้เป็นพลังงาน ไขมันที่เหลือนั้นจะเข้าไปอยู่ในเซลล์ตับในปริมาณมากเกินกว่าปกติหรือประมาณ 5-10 % ของตับ ส่วนใหญ่จะเป็นไขมันชนิดไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคไขมันเกาะตับ และหากปล่อยให้ไขมันเกาะตับนานเข้า ก็มีโอกาสเกิดตับอักเสบเรื้อรังและตับแข็งเหมือนผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ซี ได้เช่นกัน
โรคไขมันเกาะตับ มักไม่มีอาการหรืออาจมีอาการที่ไม่จำเพาะ เช่น ปวดท้อง อ่อนเพลีย ดังนั้นในเด็กอ้วนจึงควรรับการตรวจเพิ่มเติม เพื่อให้ทราบว่ามีไขมันพอกตับ หรือตับอักเสบหรือไม่ วิธีที่ง่ายที่สุด คือ การตรวจอัลตร้าซาวนด์ตับ ส่วนการวินิจฉัย อาจใช้วิธีการ Ultrasound หรือ Fibroscan ร่วมกับเจาะเลือดดู SGOT SGPT ว่ามีภาวะตับอักเสบร่วมด้วยหรือไม่ ตับอักเสบอาศัยการตรวจเลือดดูค่าการทำงานของตับ (SGOT SGPT) แต่เด็กที่มีไขมันพอกตับร่วมกับตับอักเสบบางคนอาจมีค่าการทำงานของตับอยู่ในระดับปกติได้
เป็นสิ่งที่ควรทำอย่างแรก เพราะนอกจากจะช่วยให้ไขมันที่สะสมในร่างกายลดลงแล้ว ยังเป็นการไม่นำไขมันเข้าไปเพิ่มในร่างกายอีก
คุณพ่อคุณแม่ควรใส่ใจในการเลือกอาหารให้ลูก และควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน โดยเน้นผัก ผลไม้ โปรตีน แป้งได้บ้างแต่ต้องไม่มากเกินไป หลัก ๆ คือเลี่ยงอาหารไขมันสูง ของทอด ปิ้งย่างทั้งหลาย รวมถึงขนม ของหวาน และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล
ส่วนใหญ่เด็กอ้วนมักไม่ชอบออกกำลังกาย เพราะกลัวเหนื่อยและเคลื่อนไหวร่างกายไม่คล่องแคล่ว คุณพ่อคุณแม่จึงควรหากิจกรรมอะไรก็ได้ที่ทำให้เด็กได้ขยับตัวเคลื่อนไหวร่างกายบ้าง อาจเป็นกิจกรรมง่าย ๆ เช่น พาไปเดินเล่นสวนสาธารณะ เล่นเครื่องเล่นเด็ก หรือหากิจกรรมอื่น ๆ ที่เขาชอบแทนการนั่งเล่นเกมส์หรือนอนดูโทรทัศน์ โดยไม่บีบบังคับมากเกินไป เพราะอาจทำให้เด็กรู้สึกเบื่อ จนทำให้ต่อต้านได้
หากเด็กมีน้ำหนักเกินกว่าเกณฑ์หรือเข้าขั้นเสี่ยงเป็นโรคอ้วนแล้ว คุณพ่อคุณแม่ควรพาไปพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำในการดูแล ทั้งเรื่องอาหารการกินและการออกกำลังที่เหมาะสมกับเด็ก