โดยปกติแล้วเด็กจะสามารถแยกแยะเพศตัวเองได้เมื่ออายุประมาณ 3 ขวบ แต่จะแยกแยะได้เพียงลักษณะภายนอกที่มองเห็นเท่านั้น เช่น ผู้ชายต้องผมสั้น ใส่กางเกง เด็กจะค่อย ๆ เรียนรู้และทำความเข้าใจกับลักษณะแตกต่างทางพฤติกรรมหรือบทบาททางเพศเมื่ออายุประมาณ 6 ขวบ ซึ่งการที่เด็กจะพัฒนาบทบาททางเพศของตนไปเป็นหญิงหรือชายได้นั้นขึ้นกับปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
หมายถึง สิ่งที่ติดตัวเด็กมาตามธรรมชาติ หรือสภาพทางกายที่เกิดมา เช่น เด็กบางคนขณะอยู่ในครรภ์มารดานั้น เกิดมีภาวะผิดปกติของระดับฮอร์โมนที่ควบคุมความเป็นหญิงหรือชาย หากเด็กคนนั้นเกิดมาก็จะมีความผิดปกติทางเพศ เช่น มีอวัยวะเพศก้ำกึ่งระหว่างหญิงชาย หรือมีพฤติกรรมของเพศตรงข้ามด้วย เช่น เป็นหญิง แต่มีลักษณะท่าทางพฤติกรรมของเด็กชาย ที่มักเรียกกันว่าทอมบอย ทั้งนี้จากอิทธิพลของฮอร์โมนเพศที่ได้รับระหว่างอยู่ในท้องแม่
ภาวะแวดล้อมหลังคลอดแล้ว มีความสำคัญและมีอิทธิพลอย่างมากต่อเด็กที่จะพัฒนาเพศของตนไปเป็นหญิงหรือชาย ซึ่งประกอบด้วย
- การอบรมเลี้ยงดู เป็นปัจจัยที่กำหนดเพศ (Sex Designation) ของเด็ก ตามปกติแล้วพ่อแม่และผู้ใหญ่จะปฏิบัติต่อเด็กหญิงและเด็กชายต่างกันตั้งแต่แรกเกิด เช่น คำพูด เสื้อผ้าของใช้ต่าง ๆ อาจมีลักษณะต่างกัน
- การเป็นแบบอย่างที่ดีของพ่อแม่ ทารกที่เกิดขึ้นมาต้องเรียนรู้บทบาททางเพศตามที่สังคมกำหนดจากผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิด โดยเฉพาะพ่อแม่ซึ่งเป็นบุคคลที่เด็กรักและนับถือมากที่สุด ตามธรรมชาติเด็กหญิงจะเอาแบบอย่างจากแม่ เด็กชายจะเอาแบบอย่างจากพ่อ จากผลการศึกษาพบว่าลูกชายที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพ่อจะไม่เติบโตมาเป็นรักร่วมเพศ
- สภาพแวดล้อมที่เด็กเติบโต เด็กผู้หญิงบางคนเติบโตท่ามกลางเด็กผู้ชายทั้งหมด เด็กผู้ชายบางคนเติบโตท่ามกลางพี่น้องที่เป็นผู้หญิงทั้งหมด อาจทำให้ซึมซับพฤติกรรมของคนส่วนใหญ่ที่อยู่ร่วมกันมา เช่น การพูดจา กิจกรรมที่ทำ รวมทั้งบุคลิกท่าทาง
คุณพ่อคุณแม่สามารถส่งเสริมพัฒนาการทางเพศที่ถูกต้องให้กับลูกได้ตั้งแต่ยังเล็กด้วยการเลี้ยงดูที่เหมาะสม เนื่องจากความรู้สึกว่าเป็นหญิงหรือเป็นชาย เมื่อเกิดขึ้นกับเด็กอายุ 2 - 3 ขวบ แล้วจะเปลี่ยนแปลงได้ยาก และเมื่อเด็กเรียนรู้บทบาทประจำเพศของตนจนถึง 6 ขวบไปแล้ว ก็จะยิ่งเปลี่ยนแปลงได้ยากขึ้นเช่นกัน ฉะนั้นช่วงอายุ 6 ขวบแรกของชีวิต จึงมีความสำคัญมากต่อการพัฒนาเรื่องเพศให้ถูกต้อง ซึ่งหากคุณพ่อคุณแม่พบว่าลูกในวัย 2 - 6 ขวบ เริ่มมีพฤติกรรมที่ไม่ตรงตามเพศก็ควรรีบแก้ไข เพื่อป้องกันการเบี่ยงเบนทางเพศเมื่อลูกโตขึ้น
โดยให้พ่อแม่ที่มีเพศเดียวกับเด็ก เพิ่มความใกล้ชิด คอยพูดคุย แนะนำเรื่องเพศอย่างถูกต้องเหมาะสม เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ซึ่งลูกจะได้เรียนรู้บทบาทประจำเพศของตนได้อย่างถูกต้อง
เช่น เด็กผู้ชายอย่าให้นุ่งกระโปรง หรือเล่นของเล่นแบบผู้หญิง ส่วนเด็กผู้หญิงก็ให้ซึมซับความเป็นหญิง โดยการทำงานบ้านช่วยคุณแม่ และเมื่อลูกมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมควรอธิบายให้เข้าใจ ไม่ควรดุด่า หรือใช้การข่มขู่กับลูก เพราะเด็กจะหวาดกลัว และอาจจะมีพฤติกรรมต่อต้านได้
เช่น เมื่อเด็กผู้ชายทำท่าทางอ้อนแอ้น หรือเด็กผู้หญิงทำท่าทางก๋ากั๋นเหมือนผู้ชาย ไม่ควรหัวเราะหรือเห็นเป็นเรื่องสนุกสนาน เพราะเมื่อเด็กเห็นผู้ใหญ่หัวเราะชอบใจ เขาจะเข้าใจว่าตัวเองทำถูก ทางที่ดีควรรีบสอนและแนะนำสิ่งที่ถูกต้องให้กับเด็ก
ถึงแม้ว่าบางครอบครัวจะขาดแม่ หรือขาดพ่อ ควรจะอธิบายให้ลูกเข้าใจในทางที่ถูกต้อง ไม่ใช่สร้างความรู้สึกให้เด็กเกลียดเพศใดเพศหนึ่ง
หรือถ้าหากลูกเห็นตัวอย่างที่ไม่ดี ก็ต้องคอยให้คำแนะนำที่ถูกต้อง
ให้ทำในสิ่งที่เขาชอบโดยคุณพ่อคุณแม่คอยสังเกตดูอยู่ห่าง ๆ แต่เมื่อเค้าเริ่มมีพฤติกรรมที่ผิดเพศ ก็เบี่ยงเบนความสนใจของเด็กมาสู่สิ่งที่ถูกต้อง โดยให้ลูกได้ทำกิจกรรมที่เหมาะสมกับเพศของตน เช่น คุณพ่ออาจชวนลูกชายไปช่วยล้างรถ ซ่อมแซมบ้าน ถ้าเป็นลูกสาวคุณแม่ก็อาจชวนไปพับดอกไม้ ทำชุดให้ตุ๊กตา ทั้งนี้คุณแม่คุณพ่อต้องพยายามร่วมกิจกรรมกับลูกเสมอ