*******************************************************
ไม่ควรยกโทษผู้อื่นหรือเพ่งโทษผู้อื่น ถึงแม้นผู้นั้นจะไม่ดีก็ตามที
เพราะการเพ่งโทษผู้อื่นจะนำความวิบัติสู่ตนโดยไม่รู้ตัว
ความเผลอสติมักพาให้ผู้คนนั้น ยกโทษผู้อื่นและพยายามยกคุณตนเอง
*****************************************************
ไม้ซกงก ได้แก่ ตัวของเรานี่แหละ ร่างกายของเรา
หกพันง่า หมายถึง อายตนะทั้ง ๖
กะปอมก่า คือ กิเลสตัวใหญ่รัก โลภ โกรธ หลง อันแก่กล้า
แล่นขึ้นมื้อละฮ้อย (มื้อละร้อย) มันวิ่งขึ้นใจคนเราวันละร้อย
กะปอมน้อยแล่นขึ้นมื้อละพัน คือ กิเลสที่มันเล็กน้อยก็วิ่งขึ้นสู่ใจวันละพัน
ตัวใด๋มาบ่ทัน แล่นขึ้นนำคู่มื้อๆ กิเลสที่ไม่รู้ไม่ระวัง ก็จะเกิดขึ้นทุกวัน
**************************************************************
ท่านผู้พ้นทุกข์ไปด้วยความอุตส่าห์สร้างความดีใส่ตน จนกลายเป็นสรณะของพวกเรา
ท่านไม่เคยมีสมบัติเงินทอง เครื่องหวงแหน เป็นคนร่ำรวย สวยงามเฉพาะสมัย
จึงพากันรัก พากันห่วง จนไม่รู้จักเป็นรู้จักตาย
สำคัญตนว่าจะไม่ตาย และพากันประมาทจนลืมตัว
เพลิดเพลินตักตวงเอาแต่สิ่งไม่เป็นท่าใส่ตนแทบหาบไม่ไหว
*******************************************************
"พวกเราเป็นขี้เท้าขี้เล็บของพระองค์เจ้า ไปบิณฑบาตแต่ละวันมันได้ประโยชน์อยู่
เราก็ได้ข้อวัตร เขามาใส่บาตร เขาก็ได้จาควัตร ทานวัตรของเขา
ข้าวก้อนใดอาหารกับอันใดตกลงในบาตร
ข้าวและกับอันนั้นเป็นของประเสริฐกว่ารับนิมนต์หรือเขาตามมาส่งในวัด
ในมหาขันธ์และปฐมสมโพธิกถาได้กล่าวได้ชัดแล้ว
และผัวเดียวเมียเดียวกับลูกน้อยบางคนเขาก็ได้ใส่บาตร
ไม่ได้มีเวลามาวัด และลูกเล็กเด็กน้อยมันตามแม่มันมาใส่บาตร
มันก็ได้กราบไหว้ก็เป็นบุญจิตบุญใจของมัน
ก็เรียกว่าเราโปรดสัตว์อยู่ในตัวแล้ว
ขึ้นธรรมาสน์จึงจะว่าโปรดสัตว์มันก็ไม่ถูกละ
อีกประการหนึ่งพระบรมศาสดาของพวกเราทรงฉันบิณฑบาตของนายจุนฑะกัมมารบุตร
แล้วก็ทรงเสด็จถึงเมืองกุสินาราในวันนั้น รุ่งเช้าก็ทรงสิ้นพระชนมายุ
เรียกได้อย่างง่าย ๆ ว่า พระองค์เสด็จบิณฑบาตจนถึงวันสิ้นลมปราณ
ได้ทอดสะพานทองสะพานเงินสะพานอริยทรัพย์ไว้ให้พวกเราแล้ว
ถ้าพวกเราไม่รับมรดกของพระองค์ท่านก็เรียกว่าลืมตัวประมาท
พวกเราก็ต้องพิจารณาคำนึงให้ลึกซึ้ง"
จาก บันทึกของหลวงปู่หล้า เขมปัตโต
วัดบรรพตคีรี(ภูจ้อก้อ) จ.มุกดาหาร
*****************************************************
ภูเขาสูงที่กลิ้งมาบดสัตว์ให้เป็นจุณไปนั้น
อายุ ๗๐ ปี แล้วไม่เคยเห็นภูเขา เห็นแต่ชาติทุกข์ ชราทุกข์ พยาธิทุกข์ มรณทุกข์ เท่านั้นแล
ทิฐิมานะเป็นภูเขาสูงหาที่ประมาณมิได้
*****************************************************
สังขาร ความปรุงแต่ง อันเป็นความสมมติว่า โน่นเป็นของของเรา โน่นเป็นเรา
เป็นความไม่เที่ยง อาศัยอุปทานความยึดถือจึงเป็นทุกข์ ก็แล
อาศัยอาการของจิต ของขันธ์ ๕ ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ไปปรุงแต่ง สำคัญมั่นหมายทุกภพทุกชาติ
นับเป็นอเนกชาติเหลือประมาณ มาจนถึงปัจจุบันชาติ
จึงทำให้จิตหลงอยู่ตามสมมติ
สัตว์บางตัวมีวาสนาบารมี และอัธยาศรัยดีกว่ามนุษย์บางคน
แต่เขาตกอยู่ในภาวะความเป็นสัตว์ ก็จำต้องทนรับเสวยไป
สัตว์เดรัจฉานก็ยังมีและเสวยกรรมไปตามวิบากของมัน
มิให้ประมาทเขาว่าเป็นสัตว์ที่เกิดในกำเนิดต่ำทราม
ความจริงเขาเพียงเสวยกรรมตามวาระที่เวียนมาถึงเท่านั้น
เช่นเดียวกับมนุษย์ ขณะที่ตกอยู่ในความทุกข์จนข้นแค้น
ก็จำต้องทนเอาจนกว่าจะสิ้นกรรม
****************************************************
หวังพระนิพพานด้วยความเพียรเท่าฝ่ามือนั้น
ลองคิดดูกิเลสเท่ามหาสมุทร
แต่ความเพียรเท่าฝ่ามือนั้น
มันห่างไกลกันขนาดไหน
****************************************************
****************************************************
ผู้มีปัญญาไม่ควรให้สิ่งที่ล่วงแล้วตามมา ไม่ควรหวังในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
ผู้มีปัญญาได้เห็นในธรรมซึ่งเป็นปัจจุบัน ควรเจริญความเห็นนั้นไว้เนืองๆ ควรรีบทำเสีย
ผู้มีปัญญาซึ่งมีธรรมเป็นเครื่องอยู่ มีความเพียรแยกกิเลสให้หมดไป
จะไม่เกียจคร้าน ขยันหมั่นเพียรทั้งกลางวันและกลางคืน
การกล่าวโทษผู้อื่นโดยขาดการไต่ตรอง เป็นการสั่งสมโทษและบาปใส่ตนให้ได้รับความทุกข์
จึงควรสลดสังเวชต่อความผิดของตน งดความเห็นที่เป็นบาปภัยต่อตนเสีย
ความทุกข์เป็นของน่าเกลียดน่ากลัว แต่สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ทำไมพอใจสร้างขึ้นเอง
เมื่อเกิดมาอาภัพชาติแล้ว อย่าให้ใจอาภัพอีก
ผู้เกิดมาชาตินี้อาภัพแล้ว อย่าให้ใจอาภัพ
คิดแต่ผลิตโทษ ทำบาปอกุศล เผาผลาญตน
ให้ได้ทุกข์ เป็นบาปกรรมอีกเลย
****************************************************
ศีลนั้นอยู่ที่ไหนมีตัวตนเป็นอย่างไร
ใครเป็นผู้รักษาแล้วก็รู้ว่าผู้นั้นเป็นตัวศีลศีลก็อยู่ที่ตนนี้
เจตนาเป็นตัวศีล เจตนาคือจิตใจ
คนเราถ้าจิตใจไม่มีก็ไม่เรียกว่าคน
มีแต่กายจะทำอะไรได้ ร่างกายกับจิตต้องอาศัยซึ่งกันและกัน
เมื่อจิตไม่เป็นศีล กายก็ประพฤติไปต่างๆ มีโทษต่างๆ
ผู้มีศีลแล้วไม่มีโทษจะเป็นปกติแนบเนียนไม่หวั่นไหว ไม่มีเรื่องหลงหา หลงขอ
คนที่หา คนที่ขอ ต้องเป็นทุกข์ ขอเท่าไหร่ยิ่งไม่มี ยิ่งอดอยากยากเข็ญ
กายกับจิตเราได้มาแล้วมีอยู่แล้ว
ได้มาจากบิดามารดาพร้อมบริบูรณ์
จะทำให้เป็นศีลก็รีบทำ ศีลมีอยู่ที่เราแล้ว
รักษาได้ไม่มีกาล ได้ผลไม่มีกาล
ผู้มีศีลย่อมเป็นผู้องอาจกล้าหาญ
ผู้มีศีลย่อมมีความสุข ผู้จักมั่งคั่งบริบูรณ์
ไม่อดไม่ยากไม่จนก็เพราะรักษาศีลให้สมบูรณ์
จิตดวงเดียวเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา
****************************************************
น้ำไม่ไหลขังไว้ย่อมเน่าฉันใด
จิตที่รู้เรื่องอะไรแล้วไม่ยอมปล่อยย่อมทุกข์ฉันนั้น
****************************************************
ใจนี้คือสมบัติอันล้ำค่า จึงไม่ควรอย่างยิ่งที่จะมองข้ามไป
คนพลาดใจคือคนไม่สนใจปฏิบัติต่อดวงใจดวงวิเศษในร่างนี้
แม้จะเกิดสักร้อยชาติพันชาติ ก็คือผู้เกิดพลาดอยู่นั่นเอง
ไม่ว่าธรรมส่วนใด ถ้าสำคัญตนว่าเสวย เป็นอันผิดทั้งนั้น
****************************************************
ผู้มีศีล ย่อมเป็นผู้องอาจกล้าหาญ
ผู้มีศีลย่อมมีความสุข
ผู้จักมั่นคง บริบูรณ์สมบูรณ์ไม่อดไม่อยาก
ไม่ยากไม่จนก็เพราะรักษาศีลได้สมบูรณ์
****************************************************
จะหาไปให้ลำบากทำไม อะไร ๆก็มีอยู่กับตัวเองอย่างสมบูรณ์อยู่แล้ว
จะตื่นเงาตะครุบเงาไปทำไม เพราะรู้แล้วว่าเงาไม่ใช่ตัวจริง
ตัวจริงคือ สัจจะทั้งสี่ที่มีอยู่ภายในใจอย่างสมบูรณ์แล้ว
****************************************************
เราต้องการของดี คนดี ก็จำต้องฝึก
ฝึกจนดี จะพ้นการฝึกไปไม่ได้
งานอะไรก็ต้องฝึกทั้งนั้น ฝึกงาน ฝึกคน ฝึกสัตว์ ฝึกตน ฝึกใจ
นอกจากตายแล้ว จึงหมดการฝึก
คำว่า ดี จะเป็นสมบัติ ของผู้ฝึกดีแล้วแน่นอน
****************************************************
การทำบาปหยาบคายมีมาประจำแทบทุกคน
ทั้งให้ผลเป็นทุกข์ตนยังไม่อาจรู้ได้ และตำหนิมันบ้าง
พอมีทางคิดแก้ไข แต่กลับตำหนิคำสั่งสอนหยาบคาย
ก็นับเป็นโรคที่หมดหวัง
****************************************************
ธรรม เป็นเครื่องปกครองสมบัติและปกครองใจ
ถ้าขาดธรรมเพียงอย่างเดียว
ความอยากของใจจะพยายามหาทรัพย์ ได้กองเท่าภูเขาก็ยังหาความสุขไม่เจอ
ไม่มีธรรมในใจเพียงอย่างเดียว
จะอยู่ในโลกใดกองสมบัติใด ก็เป็นเพียงโลกเศษเดนและกองสมบัติเดนเท่านั้น
ไม่มีประโยชน์อะไรแก่จิตใจแม้แต่นิด
ความทุกข์ทรมาน ความอดทนทนทาน ต่อสิ่งกระทบกระทั่งต่างๆ
ไม่มีอะไรจะแข็งแกร่งเท่าใจ
ถ้าได้รับความช่วยเหลือที่ถูกทาง ใจจะกลายเป็นของประเสริฐ
ให้เจ้าของได้ชมอย่างภูมิใจต่อเรื่องทั้งหลายทันที
****************************************************
ควรระลึกถึงป่าช้าคือความตายบ้าง เพราะกรรมกับป่าช้าอยู่ด้วยกัน
ถ้าระลึกถึงป่าช้าในขณะเดียวกันได้ระลึกถึงกรรมด้วย
อย่าอวดตัวว่าเก่งทั้ง ๆ ที่ไม่เหนืออำนาจของกรรม
ไม่ควรอวดตัวว่าเก่งกว่าศาสดา
สุดท้ายก็จนมุมของกรรมคือความเก่งของตัว
****************************************************
ให้ไตร่ตรองในหน้าที่การงานทั้งมวล เวลาทำการงานอะไร
จงอย่ารีบด่วนในงานที่ควรจะช้า
จงอย่ามัวชักช้าในงานที่ควรรีบด่วน
เพราะถ้าเราปฏิบัติไม่รอบคอบเช่นนี้
เราผู้ทำอะไรโง่ๆงุ่นง่านแบบนี้มักจะประสบทุกข์
****************************************************
****************************************************
การตำหนิติเตียนผู้อื่น ถึงเขาจะผิดจริง
ก็เป็นการก่อกวนจิตใจ ของตนเองให้มันขุ่นมัวไปด้วย
****************************************************
แก้ให้ตกเน้อ แก้บ่ตกคาพกเจ้าไว้
แก้บ่ได้แขวนคอต่องแต่ง แก้บ่พ้น คาก้นอย่างยาย
คาย่างยายเวียนว่ายตายเกิด เวียนเอากำเนิดในภพทั้งสาม
ภพทั้งสามเป็นเฮือนเจ้าอยู่
****************************************************
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอน
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืน
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
เพราะอยู่ในฐานะที่ควรทำได้ ไม่สุดวิสัย
****************************************************
ให้เร่งทำความเพียรมิให้ประมาท ชีวิตนี้อยู่ได้ไม่นานก็ต้องตาย
****************************************************
เบื้องต้นพึงพิจารณาสัจจธรรมคือ ของจริงทั้ง ๔ ได้แก่ เกิด แก่ เจ็บ ตาย
อันท่าน ผู้เป็นอริยบุคคลได้ปฏิบัติ กำหนดพิจารณามาแล้ว
เกิดเราก็เกิดมาแล้ว คือร่างกาย อันเป็นอยู่นี้ มิใช่ก้อนเกิดหรือ แก่ เจ็บ ตาย ก็ก้อนอันนี้
****************************************************
การพิจารณากายนี้ เป็นของสำคัญ
ผู้ที่จะพ้นทุกข์ ล้วนแต่ต้องพิจารณากายทั้งสิ้น
สิ่งสกปรก น่าเกลียดนั่นก็คือ ตัวเรานี่เอง
ร่างกายนี้เป็นที่ประชุมแห่งของโสโครก เป็นอสุภะปฏิกูลน่าเกลียด
****************************************************
พระบรมศาสดาจารย์เจ้าทรงตั้งมหาสติปัฏฐานเป็นชัยภูมิ
จะได้เป็นเครื่องกำจัดนิวรณ์ทำให้ใจสงบก่อน