พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) แห่งราชวงศ์จักรี ทรงปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์ เป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ขณะมีพระชนมายุได้ 45 พรรษา และทรงสถาปนากรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวงของไทย
•พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายราชธานีจากฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาหรือฝั่งธนบุรีมาที่ฝั่งตะวันออก โดยทรงทำพิธียกเสาหลักเมืองเมื่อวันที่ 21 เมษายนปีเดียวกัน และทรงพระราชทานนามพระนครแห่งนี้ว่า
ซึ่งเป็นชื่อเมืองที่ยาวที่สุดในโลก และให้ก่อสร้างพระราชวังล้อมด้วยไม้ระเนียดไว้ก่อน พอให้ตั้งการพระราชพิธีปราบดาภิเษกโดยสังเขป เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2325 จากนั้นจึงโปรดเกล้าฯ ให้ก่อสร้างพระบรมมหาราชวัง พระราชวังบวรสถานมงคล และพระนครอย่างถาวรต่อไป
•เมื่อก่อสร้างวัดพระศรีรัตนศาสดารามแล้วเสร็จใน พ.ศ. 2327 จึงอัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) จากพระราชวังเดิมกรุงธนบุรี มาประดิษฐานในพระอุโบสถ และเมื่อสร้างพระนครแล้วเสร็จใน พ.ศ 2328 โปรดให้กระทำพิธีราชาภิเษกครั้งที่ 2 ให้ถูกต้องตามโบราณราชประเพณี และให้มีการสมโภชพระนครต่อเนื่องกัน
•ด้วยพระมหากรุณาธิคุณดังกล่าว ในปี พ.ศ. 2416 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) จึงโปรดเกล้าฯ ให้หล่อพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 4 พระองค์ ได้แก่ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ 1), พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2), พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3), และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) เพื่อประดิษฐานไว้ให้ถวายบังคมระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณเป็นธรรมเนียมปีละครั้ง และโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท แต่มีการย้ายสถานที่ในการประดิษฐานหลายครั้ง เช่น พระที่นั่งสุทไธสวรรยปราสาท และพระที่นั่งศิวาลัยมหาปราสาท เป็นต้น
•ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) โปรดให้ย้ายพระบรมรูปมาไว้ ณ ปราสาทพระเทพบิดร ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พร้อมกับพระบรมรูปของรัชกาลที่ 5 พระบรมชนกนาถ จนกระทั่งในเดือนเมษายน พ.ศ. 2461 การซ่อมแซมก่อสร้างและประดิษฐานพระบรมรูปทั้ง 5 รัชกาลจึงสำเร็จลุล่วง และได้มีพระบรมราชโองการประกาศตั้งพระราชพิธีถวายบังคมพระบรมรูปในวันที่ 6 เมษายนปีนั้น และต่อมาโปรดฯ ให้เรียกวันที่ 6 เมษายนว่า “วันจักรี”