การลงเท้ามีความสำคัญ
ราสามารถวิ่งได้อย่างเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว การลงเท้าอย่างถูกวิธีก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นเดียวกัน เพราะจะช่วยลดอาการบาดเจ็บได้
1. การวิ่งแบบลงส้นเท้า (heel strike) เป็นท่าวิ่งที่หลาย ๆ คนเคยชินอยู่แล้ว โดยที่ส้นเท้าจะแตะกับพื้นเป็นอย่างแรก แล้วตามมาด้วยฝ่าเท้า เมื่อมาถึงปลายเท้าก็เป็นการเคลื่อนตัวไปข้างหน้า ในจังหวะที่เท้าได้มีการสัมผัสพื้นควรจะงอหัวเข่าเล็กน้อย และเหยียดไปข้างหลัง แล้วยกเท้าเพื่อเหวี่ยงและเหยียดออกไปข้างหน้าก่อนที่ส้นเท้าจะสัมผัสพื้นอีกครั้ง
ข้อระวัง การวิ่งลักษณะนี้ ทำให้มีแรงกระแทกอาจจะทำให้เกิดการบาดเจ็บที่เข่า เพื่อลดอาการขณะวิ่งลองยกเข่าไม่สูง และก้าวไม่กว้างจนเกินไป
2. การวิ่งแบบลงฝ่าเท้า (midfoot strike/forefoot strike) เป็นท่าที่ขณะวิ่งที่ปลายเท้าหรือฝ่าเท้าจะสัมผัสพื้นเป็นอย่างแรก แล้วตามมาด้วยปลายเท้าที่จะดันไปข้างหน้า การลงเท้าแบบนี้จะไม่ล่ำไปข้างหน้า
ข้อควรระวัง ท่าวิ่งแบบนี้ช่วยลดแรงกระแทกที่เข่า แต่อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บที่เอ็นร้อยหวาย, เอ็นฝ่าเท้าอักเสบ, กระดูกเกิดอาการร้าวได้
การลงเท้าในการวิ่งอาจจะต้องใช้การฝึกซ้อมของร่างกาย และความใกล้-ไกลของระยะทางที่่วิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งแบบไหนก็ทำให้เกิดการบาดเจ็บได้เพียงแต่การบาดเจ็บที่ตำแหน่งไม่เหมือนกัน ต้องลองปรับท่าตามความเหมาะสม
การเอียงตัว
ในการวิ่งแบบไม่เอียงตัวจะเป็นท่าวิ่งที่รู้สึกแอ่นหลัง ทำให้มีออาหารปวดหลังหรือไหล่ได้ ลองปรับให้เอียงตัวในลักษณะที่โน้มไปข้างหน้าสักเล็กน้อย
การงอข้อศอก
งอข้อศอกเล็กน้อย กำมือหลวม ๆ และแกว่งแขนไปข้างหน้าไม่สูง วิ่งในท่าที่สบาย ๆ แขนอยู่ข้างลำตัว ให้สัมพันธ์กับจังหวะการวิ่ง
การหายใจ
การหายใจเข้า-ออกทางจมูก ให้เป็นธรรมชาติ เมื่อรู้สึกหายใจไม่ทันลองใช้การหายใจเข้าทางจมูกและหายใจออกทางปาก แต่ถ้าเริ่มมีการอาการเหนื่อยหอบ ให้ชะลอความเร็วในวิ่งช้าลง จะเริ่มหายใจได้คล่องขึ้นจึงทำการวิ่งต่อ
สำหรับการวิ่งก็ควรจะมีการฝึกซ้อมท่า ฝึกซ้อมร่างกาย เพื่อไม่ให้เกิดอาการบาดเจ็บหรือบาดเจ็บน้อยที่สุด เมื่อซ้อมวิ่งไปเรื่อย ๆ แล้วค่อยเพิ่มระยะทางที่ไกลขึ้น ตามที่ร่างกายไหว แต่อย่าหักโหมมากเกินไป สุดท้ายก่อน และหลังวิ่งก็อย่าลืมทำการ Warm-Up, Cool-Down กันด้วยล่ะ