1. เลือกมะระที่ผลสีเขียว มีผิวตึงใส ไม่มีสีเขียวหรือสีเหลือง นำมะระมาหั่น และควักไส้ให้สะอาด แล้วแช่ลงในน้ำเกลือ (อัตราส่วน น้ำ 1 ลิตร ต่อเกลือ 1 ช้อนโต๊ะ) แช่มะระในน้ำเกลือไว้ประมาณ 20 นาที
2. หลังจากนั้นนำมะระขึ้นจากน้ำเกลือ และแช่ไว้ในน้ำเปล่าเป็นเวลา 10 นาที แล้วเอาขึ้นจากน้ำ นำมาหั่นเป็นท่อนหรือเตรียมสำหรับยัดไส้
3. ต้มน้ำให้เดือดจัด ใส่มะระลงไป ปิดฝาไว้ ห้ามเปิดจนกว่ามะระจะสุก เมื่อมะระสุกแล้วค่อยปรุงรสตามใจชอบ แค่นี้เราก็จะได้แกงจืดมะระที่ไม่มีรสขม หรืออาจมีรสขมเล็กน้อย
สรรพคุณของมะระ
"มะระ" มีรสชาติขมจนไม่อยากรับประทาน แต่ภายใต้หน้าตาที่อัปลักษณ์ของมัน ถึงเวลาแล้วที่เราจะหันมาปฏิวัติการกินเสียใหม่นะคะ ชาวเอเชียรู้จักกันดีถึงสรรพคุณของมะระ แต่ชาวฝั่งตะวันตกกลับกลัวที่จะกินมัน ทั้งที่ยังไม่รู้ประโยชน์ที่แสนจะอัศจรรย์ของมันแม้แต่น้อย เรามาดูประโยชน์ของมะระกันเลยดีกว่าค่ะ
อย่างแรก คือ ความขมของมะระนั้นสามารถช่วยให้เราเจริญอาหาร เพราะสารขมที่อยู่ในมะระนั้นจะช่วยกระตุ้นให้น้ำย่อยออกมามาก จึงทำให้รับประทานอาหารได้มากขึ้น ซึ่งเราอาจจะนำมะระไปลวก หรือเผาไฟจิ้ม แล้วนำมาจิ้มกับน้ำพริกก็ได้
และอีกคุณประโยชน์ก็คือ สามารถบำบัด และรักษาโรคเบาหวานระยะเริ่มต้น ด้วยสารอาหารในมะระ ซึ่งทำหน้าที่เพิ่มเบต้าเซลล์ในตับอ่อน โดยการกระตุ้นให้เกิดการสร้างอินซูลิน (ฮอร์โมนควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด) อีกทั้งมะระยังมีเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ย่อยน้ำตาล และคาร์โบไฮเดรต สารอาหารจะผสมอยู่ในรูปของโปรตีน ซึ่งสามารถบรรเทาอาการเจ็บป่วยที่เกิดจากโรคตับ และโรคเบาหวานได้ อีกทั้งมะระยังสามารถแก้โรคตับอักเสบ ปวดหัวเข่า ม้ามอักเสบได้ โดยรับประทานมะระดิบเป็นประจำจะช่วยได้ค่ะ
นอกจากนี้มะระยังมีคุณค่าทางอาหารมากมาย เพราะอุดมไปด้วยฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซี วิตามินบี 1, วิตามินบี 3, เบต้าแคโรทีน, ไฟเบอร์, ธาตุเหล็ก, โพแทสเซียม เป็นต้น
ข้อควรระวัง
ห้ามรับประทานมะระสุก เพราะมะระสุกมีสารซาโปนินอยู่มาก ซึ่งมีผลให้คลื่นไส้ อาเจียน
มะระมีฤทธิ์เป็นยาระบายอย่าทานมากเกินไปเพราะอาจทำให้ท้องเสียได้
ขอบคุณภาพปก : Pixabay