1,561 Viewsสำหรับคนส่วนใหญ่แล้วมันเป็นเรื่องยากที่จะบังคับใจตัวเองไม่ให้กินขนมหรือของหวานต่าง ๆ ไม่ว่าจะขนมไทย ขนมเทศ แกงบวดฟักทอง กล้วยบวชชี โดนัท เค้ก คุกกี้ ไอศกรีม เหมือนกับว่าของหวานทั้งหลายเป็นสารเสพติด ที่เมื่อลองได้กินแล้ว ก็จะโหยหาต้องการมันอีกอย่างหยุดไม่ได้ ต้องการมันมากขึ้นในทุก ๆ ครั้งที่เห็นและถูกห้าม ต้องการมันมากขึ้นเรื่อย ๆ เพียงแค่จินตนาการถึงมันก็ทำให้ท้องคุณร้องได้แล้ว และแม้ว่าการกินของหวานเป็นประจำจะถูกจัดว่าไม่ดีต่อสุขภาพ แต่ความเป็นจริงมันมีอะไรมากกว่านั้น แน่นอนว่าอะไรที่มากเกินไปก็จะไม่ดี แต่ถ้ากินแต่พอดี มันก็ทำให้หายอยากและมีประโยชน์ต่อร่างกายได้เช่นกัน

ภาพประกอบ : ลิขสิทธิ์ถูกต้องจาก Shutterstock
ลิขสิทธิ์ภาพขอสงวนเฉพาะสำหรับใช้งานในสื่อต่าง ๆ ของทรูปลูกปัญญา เท่านั้น
ห้ามไม่ให้นำภาพไปเผยแพร่ผ่านช่องทางอื่นโดยเด็ดขาด
รสหวานที่เราได้รับจากปุ่มรับรสสัมผัสบนลิ้นเวลาเราทานขนมเข้าไป เพราะว่าอาหารหรือของหวานเหล่านั้นมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบ จะมากจะน้อยในเชิงปริมาณมันไม่ใช่เรื่องสำคัญที่เราจะพูดกันตอนนี้ แต่น้ำตาล (sugar) นี่แหละที่มีรสหวาน มันเป็นลำดับชั้นโมเลกุลขนาดเล็กของสารอาหารในกลุ่มคาร์โบไฮเดรต และแม้ว่าเราจะไม่ได้ใส่น้ำตาลเพิ่มเข้าไปในอาหาร ตัวน้ำตาลเองก็เป็นส่วนประกอบทางธรรมชาติของอาหารหลายชนิด โดยเฉพาะจำพวกผักและผลไม้ ซึ่งเป็นแหล่งน้ำตาลทางธรรมชาติที่เราและสัตว์ต่าง ๆ รู้จักและรับประทานมาตลอด โมเลกุลของน้ำตาลที่เรามักพบได้แก่ กลูโคส(Glucose), ฟรุคโตส (Fructose), ซูโครส (Sucrose), มัลโตส (Maltose), แลคโตส (Lactose), เด็กซ์โตรส (Dextrose), และ สตราช (Starch) ซึ่งล้วนแต่เป็นโครงสร้างขนาดเล็กของน้ำตาลที่ให้พลังงานกับร่างกาย

ภาพประกอบ : ลิขสิทธิ์ถูกต้องจาก Shutterstock
ลิขสิทธิ์ภาพขอสงวนเฉพาะสำหรับใช้งานในสื่อต่าง ๆ ของทรูปลูกปัญญา เท่านั้น
ห้ามไม่ให้นำภาพไปเผยแพร่ผ่านช่องทางอื่นโดยเด็ดขาด
เราสามารถพบน้ำตาลได้ในทุกที่ อาหารทุกจาน เครื่องดื่ม และแม้แต่ขนมขบเคี้ยว เมื่อน้ำตาลเข้าสู่ร่างกายขณะที่เรารับประทานอาหารเข้าไป เริ่มแรกน้ำตาลจะถูกจับโดยต่อมรับความหวานบริเวณปลายลิ้น นั่นหมายความว่าหากคุณไม่มีลิ้น หรือปลายลิ้นโดนตัดออก นอกจากจะพิการไม่สามารถพูดได้ กินอาหารลำบากแล้ว คุณยังจะสูญเสียการรับรสความหวานอีกด้วย หลังจากที่ต่อมรับรสบริเวณปลายลิ้นได้สัมผัสกับน้ำตาลหรือโมเลกุลน้ำตาล มันจะส่งสัญญาณความหวานไปสู่เซลล์สมอง และจากนั้นสัญญาณจะถูกส่งไปยังส่วนต่าง ๆ ของสมอง โดยเฉพาะสมองส่วน Cerebral Cortex ซึ่งเป็นบริเวณที่จะแปลสัญญาณและบอกเราว่ามันคือรสอะไร ก่อนที่มันจะส่งสัญญาณไปบอกกับระบบการรับรู้ในส่วนการให้รางวัลของตัวเรา หมายความว่าเมื่อคุณกินอาหารที่มีน้ำตาลหรือขนมต่าง ๆ ที่มีรสหวาน คุณจะรู้สึกดี มีความสุข แต่น้ำตาลหรือการทานอาหารไม่ใช่สิ่งเดียวที่ไปกระตุ้นความรู้สึกนี้ การเข้าสังคม การทำกิจกรรมหรืออยู่ในสภาวะแวดล้อมบางชนิดที่ชอบ หรือแม้แต่ยา หรือสารกระตุ้นบางประเภทเองก็เป็นสิ่งที่จะกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกเช่นนี้ได้ด้วย
ทุกครั้งที่คนเราได้รับน้ำตาลเข้าไป จะทำให้เกิดผลกระทบต่อเนื่องเป็นทอด ๆ ในสมองและทำให้เกิดการจุดประกายของระบบให้รางวัลในสมอง หากมากเกินไป บ่อยเกินไป มันจะเกินกำลัง ดังนั้นการได้รับน้ำตาลในปริมาณมากเกินไปทำให้เกิดการเสพติดของสมองได้ เช่น การเสียการควบคุม ความโหยหรืออยาก และความอดกลั้นต่อน้ำตาลเพิ่มขึ้น

ภาพประกอบ : ลิขสิทธิ์ถูกต้องจาก Shutterstock
ลิขสิทธิ์ภาพขอสงวนเฉพาะสำหรับใช้งานในสื่อต่าง ๆ ของทรูปลูกปัญญา เท่านั้น
ห้ามไม่ให้นำภาพไปเผยแพร่ผ่านช่องทางอื่นโดยเด็ดขาด
เมื่อโมเลกุลน้ำตาลเดินทางไปถึงกระเพาะและลำไส้ ตรงนั้นก็มีต่อมรับรสน้ำตาลอยู่เช่นกัน แม้ว่ามันจะไม่ได้ให้รสชาติ แต่มันก็ส่งสัญญาณไปยังสมองว่าคุณอิ่ม หรือร่างกายของคุณต้องเตรียมตัวผลิต อินซูลิน (Insulin) เพิ่มขึ้นเพื่อรับมือกับปริมาณน้ำตาลที่เพิ่มขึ้นจากการกินของคุณ และทำให้ระบบให้รางวัลของร่างกายทำงานอีกครั้งจากการหลั่งฮอร์โมน โดพามีน (Dopamine) สารเคมีที่สำคัญในการส่งสัญญาณประสาท การที่สมองได้รับสารโดพามีนมากขึ้น หรือเป็นจำนวนมากในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ ทำให้เกิดอาการเสพติด หรือทำให้มีความต้องการสารชนิดนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และนั่นเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมร่างกายของเรา หรือหากจะพูดให้เจาะจงลงไปคือทำไมสมองของเราจึงโหยหาและรู้สึกดีกับน้ำตาลและขนมหวาน...ก็เพราะมันทำให้เกิดการกระจายของสารโดพามีนซึ่งหาได้ยากในอาหารชนิดอื่น ๆ เช่น ผัก ที่ไม่ทำให้เกิดการกระจายของสารโดพามีน หากไม่ได้มีการบังคับจากความคิดหรือสมองส่วนการใช้เหตุและผล และหากเราไม่ได้รับการสอนมาก่อนว่าผักนั้นมีประโยชน์ โดยเนื้อแท้แล้วสมองคงไม่สั่งให้เราต้องกินผัก นอกจากเราจะย่อยเซลลูโลสที่มีมากในผักไม่ได้แล้ว เรายังไม่ได้พลังงานหรือน้ำตาลจากมันอีกด้วย
เรียบเรียงโดย ทีมงานทรูปลูกปัญญา
ที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=lEXBxijQREo
http://www.mensfitness.com/nutrition/sugar-what-kinds-eat-and-when
http://articles.mercola.com/sugar-side-effects.aspx
http://www.whfoods.com/genpage.php?tname=dailytip&dbid=127
ภาพประกอบ : ลิขสิทธิ์ถูกต้องจาก Shutterstock
ลิขสิทธิ์ภาพขอสงวนเฉพาะสำหรับใช้งานในสื่อต่าง ๆ ของทรูปลูกปัญญา เท่านั้น
ห้ามไม่ให้นำภาพไปเผยแพร่ผ่านช่องทางอื่นโดยเด็ดขาด