Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา

ฝันไปทำไม

Posted By Plook Panya | 16 พ.ค. 59
634 Views

  Favorite

นับตั้งแต่เรารู้จักกับความฝัน เราก็ยังคงวนเวียนคิดถึงมัน มีการตีความ การทำนายฝัน จนไปถึงการรู้แจ้ง เห็นอนาคต และนิมิตที่ผ่านเข้ามาในขณะนอนหลับ แน่นอนว่าทุกคนต้องเคยฝัน ฝันดีบ้าง ร้ายบ้าง สนุกบ้าง เศร้าบ้าง จำได้บ้างไม่ได้บ้าง นักพยากรณ์ก็ทำนายฝันกันมาอย่างยาวนาน แต่ก็ใช่ว่าจะถูกทั้งหมด ในยุคอียิปต์โบราณมีการบันทึกถึงหนังสือทำนายฝัน ซึ่งแน่นอนว่าแตกต่างจากตำราในปัจจุบัน และก็ยังไม่เหมือนที่อื่นในโลก ความฝันในแต่ละวัฒนธรรมมีความหมายที่แตกต่างกันอย่างนั้นหรือ จุดเริ่มต้นของความฝันคืออะไร ทำไมจึงต้องฝัน นักวิทยาศาสตร์เริ่มค้นหาคำตอบมานาน แม้จะมีการพัฒนาก้าวหน้าทางด้านการวิจัยและเทคโนโลยีต่าง ๆ แต่เราก็ยังไม่สามารถให้คำนิยามที่แท้จริงของความฝันได้ ก่อนที่จะฝันได้เราต้องเริ่มจากการหลับตา และนอนหลับไป



ภาพประกอบ : ลิขสิทธิ์ถูกต้องจาก Shutterstock
ลิขสิทธิ์ภาพขอสงวนเฉพาะสำหรับใช้งานในสื่อต่าง ๆ ของทรูปลูกปัญญา เท่านั้น
ห้ามไม่ให้นำภาพไปเผยแพร่ผ่านช่องทางอื่นโดยเด็ดขาด


ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการนอนของมนุษย์ และการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายระหว่างที่นอนหลับ แต่ปัจจุบันก็ยังไม่มีนิยามที่แน่ชัดและข้อมูลที่แน่นอนเกี่ยวกับวิธีการทำงานของร่างกายเราในระหว่างการนอนหลับ หนึ่งในทฤษฏีที่น่าสนใจเกี่ยวกับการนอนคือ Inactive Theory ทฤษฎีนี้กล่าวถึงความจำเป็นของการนอน โดยกล่าวว่า การนอนเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษยชาติอยู่รอดได้ตลอดช่วงวิวัฒนาการของเรา เนื่องจากการอยู่นิ่งและเงียบในเวลากลางคืนทำให้เราปลอดภัยและห่างไกลจากภัยคุกคาม หลีกเลี่ยงอุบัติเหตุและการบาดเจ็บที่เกิดจากการเคลื่อนไหวในเวลากลางคืน ซึ่งโดยรวมแล้วดูจะเป็นผลประโยชน์ทางอ้อมของการนอนเสียมากกว่า เพราะในขณะที่เรานอนหลับในเวลากลางคืน สัตว์ชนิดอื่นกลับวิวัฒนาการเพื่อให้มองเห็นได้ดี ซึ่งมีประโยชน์มากกว่าการนอนอยู่นิ่ง ๆ และพวกมันก็นอนในเวลากลางวันทดแทน ดังนั้นทฤษฎีที่น่าสนใจถัดมาคือ Energy Conservation หรือการประหยัดพลังงานและเก็บเอาไว้ ทำให้ใช้พลังงานน้อยลง โดยการนอนในช่วงที่หาอาหารได้ยาก ตัวอย่างนี้เห็นได้ชัดในสัตว์ป่าซึ่งหากอยู่ในช่วงเวลาที่แห้งแล้งและหาอาหารได้ยาก มันจะใช้เวลาไปกับการนอนมากขึ้น อย่างไรก็ดีการศึกษาพบว่าอัตราการเผาผลาญพลังงานในช่วงเวลานอนลดลงจากเมื่อตื่นอยู่เพียงแค่ 10% เท่านั้น

Restorative Theory บอกว่าการนอนเป็นช่วงเวลาแห่งการฟื้นฟูและซ่อมแซม โดยการนอนเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายใช้ฟื้นฟูพลังงานและซ่อมแซมเซลล์และเนื้อเยื่อรวมทั้งระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ยังสังเคราะห์โปรตีน และปล่อยฮอร์โมนเพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตต่าง ๆ ที่ถูกใช้งานในขณะตื่นเพื่อให้พร้อมต่อการใช้ชีวิตในวันถัด ๆ ไป มีงานวิจัยพบว่าในวัยที่กำลังเจริญเติบโต การนอนที่เพียงพอและพอเหมาะทำให้ร่างกายเจริญเติบโตได้ดีขึ้น ดังนั้นการนอนส่งผลต่อการเจริญเติบโตและฟื้นฟูอย่างแน่นอน และทฤษฎีที่สัมพันธ์กับการฝันที่สุดก็คือ Brain Plasticity กล่าวไว้ว่า สมองจะถูกปั้นแต่งจัดเรียงโครงสร้างในขณะที่เรากำลังหลับ มีผลการวิจัยเมื่อไม่นานนี้ที่สนับสนุนทฤษฎีนี้ เนื่องจากพบว่าสมองไม่ได้หยุดนิ่งในขณะที่เราหลับ สมองมีการทำงานตลอดเวลา เพียงแต่ไม่ได้ทำงานทุกส่วน สมองมีการจัดเรียงข้อมูลที่เข้ามาตลอดวัน แบ่งเป็นหมวดหมู่ความจำ สิ่งที่เรียนรู้ใหม่ในวันที่เพิ่งหมดไป เป็นต้น และการที่สมองมีการตรวจสอบและทบทวนข้อมูลหรือสิ่งที่พบมาในระหว่างวันในขณะที่นอนหลับนี้เอง ที่คาดว่าเป็นต้นเหตุของความฝัน



ภาพประกอบ : ลิขสิทธิ์ถูกต้องจาก Shutterstock
ลิขสิทธิ์ภาพขอสงวนเฉพาะสำหรับใช้งานในสื่อต่าง ๆ ของทรูปลูกปัญญา เท่านั้น
ห้ามไม่ให้นำภาพไปเผยแพร่ผ่านช่องทางอื่นโดยเด็ดขาด


การนอนแบ่งออกเป็นสองช่วง คือช่วง REM (Rapid Eye Movement) หรือช่วงที่หากเรามองดูคนที่นอนหลับลูกตาจะสอดส่ายไปมา สมองมีการทำงานเกือบเทียบเท่าช่วงที่ตื่นอยู่ สลับกับช่วง non-REM ซึ่งเป็นการหลับที่ลึกกว่า สมองมีการทำงานน้อยลงในหลายส่วน โดยความฝันมักจะเกิดขึ้นในระยะ REM ที่สมองมีการทำงานและทบทวนสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่างที่คุณตื่น ดังนั้นในขณะฝันจึงมักรู้สึกและมีกิจกรรมที่เหมือนตอนคุณตื่นอยู่ เพียงแต่ร่างกายไม่ได้ขยับหรือขยับเพียงนิดเดียว โดยไม่นับในกรณีการละเมอ ความยาวของการฝันมักจะไม่คงที่ อาจจะสั้นเพียงไม่กี่วินาที จนยาวถึง 30 นาที โดยในหนึ่งคืนอาจจะฝันหลายเรื่องติดต่อกัน และไม่เกี่ยวข้องกันเลยก็ได้ 4 - 7 เรื่อง

คนส่วนใหญ่มักจะจำความฝันที่เกิดขึ้นระหว่างการนอนหลับในระยะ REM หรือความฝันที่เกิดขึ้นล่าสุดได้ในทันทีที่ตื่น แต่ความฝันก็จะถูกลืมหายไปอย่างรวดเร็ว การวิจัยในปัจจุบันมีการพบความสัมพันธ์ระหว่างความฝันและจิตใต้สำนึกที่เชื่อมต่อกัน และอยู่นอกเหนือการควบคุมของผู้ที่กำลังฝัน ซิกมันต์ ฟรอยด์ กล่าวว่า ความฝันเป็นการเติมเต็มปรารถนาที่ฝังอยู่ภายในจิตใจ ความอยากที่เคยมี สิ่งที่ขาดหายในวัยเด็ก และความหมกมุ่นที่อยากได้อยากมี ในทางประสาทวิทยาแล้วความฝันช่วยให้สมองจัดเรียงข้อมูลได้เป็นระเบียบมากขึ้น กระตุ้นความทรงจำระยะยาวให้คงอยู่ไม่เลือนหาย เนื่องจากมีการทบทวนเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในอดีต และความน่าจะเป็นที่อาจจะเกิดขึ้น ทำให้การตัดสินใจที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตสามารถทำได้ดีขึ้น มีตัวอย่างการศึกษาที่พบว่าผู้ที่นอนหลับและฝันถึงทางออกจากเขาวงกต สามารถแก้ปัญหาได้เร็วกว่าผู้ที่ตื่นและคิดถึงเขาวงกตเฉย ๆ แต่ไม่ได้นอนหลับฝัน

มีการค้นพบว่าในกรณีของบางคนที่มีสภาวะอารมณ์ผิดปกติ หรือบางโรคที่มีสภาวะผิดปกติทางจิตทำให้ไม่สามารถนอนได้ คนเหล่านี้เลยไม่ได้หลับฝัน จึงมีการคาดว่าการที่ไม่ฝันอาจจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งเสริมให้เกิดอาการป่วยเช่นนี้ การศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับการนอนและความฝันยังคงดำเนินต่อไป เพื่อที่เราจะได้เข้าใจถึงสาเหตุและผลกระทบของการนอนและความฝันต่อการดำรงชีวิตของเรามากขึ้น เพราะร่างกายเราได้รับการออกแบบมาอย่างประณีตตลอดช่วงวิวัฒนาการที่ผ่านมา สิ่งที่เราเป็น กิจกรรมที่เราทำ ความคิดความฝันที่เกิดขึ้นในสมอง เป็นสิ่งที่ธรรมชาติคัดสรรมาแล้วว่าควรจะมีและเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับเพียงแค่เวลา ว่าเมื่อไรเราจะค้นพบกับคำตอบนั้น

เรียบเรียงโดย ทีมงานทรูปลูกปัญญา

ที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=2W85Dwxx218
         http://slumberwise.com/science/why-do-we-sleep/
         http://healthysleep.med.harvard.edu/healthy/matters/benefits-of-sleep/why-do-we-sleep
         http://io9.gizmodo.com/10-theories-that-explain-why-we-dream-897195110
         http://www.popsci.com/science/article/2013-09/where-do-dreams-come
         http://www.ibtimes.co.uk/where-do-dreams-come-scientists-might-have-worked-it-out-1515050

ภาพประกอบ : ลิขสิทธิ์ถูกต้องจาก Shutterstock
ลิขสิทธิ์ภาพขอสงวนเฉพาะสำหรับใช้งานในสื่อต่าง ๆ ของทรูปลูกปัญญา เท่านั้น
ห้ามไม่ให้นำภาพไปเผยแพร่ผ่านช่องทางอื่นโดยเด็ดขาด

เว็บไซต์ทรูปลูกปัญญาดอทคอมเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป
Tags
  • Posted By
  • Plook Panya
  • 7 Followers
  • Follow