ความลับที่ไม่ลับ หากคุณกล้าที่จะมองหาจุดหนึ่งบนดาวฤกษ์ของเราที่ส่องแสง ส่งคลื่นความร้อนมาแผดเผาเรา มันมีจุดอ่อน ความอ่อนแอที่ไม่มีใครพบหากไม่ได้ศึกษาและถ่ายรูปมันมาขยาย จุดหนึ่งบนดวงอาทิตย์ไม่ไหม้ มันมืด มันไม่มีไฟ จุดดำ จุดดับ เหมือนมะเร็งเนื้อร้ายของดวงอาทิตย์ มันถูกค้นพบเป็นครั้งคราว เปลี่ยนที่ไปเรื่อย ๆให้ตกใจเล่น ทุกครั้งที่พบเห็นมันจะเปลี่ยนตำแหน่งไปทุก ๆ ปี บางทีเป็นจุดใหญ่ บางทีก็เป็นจุดเล็ก sunspot นี้สามารถมองเห็นได้จากกล้องโทรทัศน์เท่านั้น
ภาพประกอบ : ลิขสิทธิ์ถูกต้องจาก Shutterstock
ลิขสิทธิ์ภาพขอสงวนเฉพาะสำหรับใช้งานในสื่อต่าง ๆ ของทรูปลูกปัญญา เท่านั้น
ห้ามไม่ให้นำภาพไปเผยแพร่ผ่านช่องทางอื่นโดยเด็ดขาด
จุดมืดดวงอาทิตย์เป็นพื้นที่ส่วนเล็ก ๆ บนผิวดวงอาทิตย์ที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าบริเวณโดยรอบ และมีสนามแม่เหล็กที่มีความปั่นป่วนสูงมาก โดยปกติแล้วพื้นที่บริเวณผิวดวงอาทิตย์จะมีอุณหภูมิประมาณ 5800 องศาเคลวิน แต่จุดดับมีอุณหภูมิต่ำกว่าบริเวณปกติ 500-1000 องศาเคลวิน ซึ่งอันที่จริงแล้วหากเราพิจารณาเฉพาะจุดดำมืด จุดดับอันนี้ ก็ยังมีความร้อนสูงมากอยู่ดี บริเวณที่เกิดจุดดำนี้ทำให้เกิดความแตกต่างของอุณหภูมิและความปั่นป่วนของสนามแม่เหล็ก ซึ่งจะทำให้กระบวนการพาความร้อนบนพื้นผิวดวงอาทิตย์แปรปรวน ความเข้มแสงจึงต่ำกว่าโดยรอบจึงเป็นสีดำ แน่นอนว่าความแตกต่างของอุณหภูมิ แสง และสนามแม่เหล็กยังทำให้เกิดปัญหาอื่นตามมา มันทำให้เกิด บ่วงโคโรนา (Coronal loop) การระเบิดแสงของดวงอาทิตย์ (Solar Flare) และการปล่อยมวลโคโรนาออกมาโดยรอบทำให้เกิดคลื่นสนามแม่เหล็กส่งตรงมายังโลกซึ่งรบกวนการทำงานของคลื่นต่าง ๆ ดังที่เป็นข่าวเรื่องพายุสุริยะทำให้เกิดสัญญาณดาวเทียมขัดข้องเป็นต้น
จะเกิดอะไรขึ้นหากจุดดำเป็นจุดดับ หากมันเป็นเพียงการเริ่มต้นและลุกลามไปยังส่วนต่าง ๆ จนดวงอาทิตย์ดับหรือหายไป ที่แน่ ๆ คือ มันคงจะไม่เกิดขึ้นในช่วงชีวิตลูกหลานเหลนโหลนของเรา เพราะกว่าดวงอาทิตย์จะดับไปก็คงพันล้านปีนับจากนี้ แต่หากมันเกิด มันจะเริ่มต้นการดับด้วยการขยายตัวก่อน และเมื่อมันขยายตัวก็จะทำให้เกิดการเดือดของน้ำทั่วโลกและกลืนกินโลกให้หายไป แปลแบบสั้น ๆ คือ กว่าดวงอาทิตย์จะดับ โลกก็ดับไปก่อนแล้ว และดวงอาทิตย์คงจะไม่หายไปเฉย ๆ ตามกฎของฟิสิกส์และวิทยาศาสตร์ทั้งหลายทั้งปวงที่เรารู้กันดี สสารและพลังงานไม่มีทางหายไปเฉย ๆ มันอาจจะหายจากสถานที่หนึ่ง แต่จะไปโผล่อีกที่หนึ่งอย่างแน่นอน อาจจะเป็นการเดินทางจะผ่านรูหนอนระหว่างมิติได้หรือวิธีใด ๆ ก็ตามก็เป็นได้ แต่ด้วยขนาดที่ใหญ่เท่าดวงอาทิตย์มันก็คงเป็นไปไม่ได้ในช่วงอายุหลายพันล้านล้านปีของจักรวาลนี้
ภาพประกอบ : ลิขสิทธิ์ถูกต้องจาก Shutterstock
ลิขสิทธิ์ภาพขอสงวนเฉพาะสำหรับใช้งานในสื่อต่าง ๆ ของทรูปลูกปัญญา เท่านั้น
ห้ามไม่ให้นำภาพไปเผยแพร่ผ่านช่องทางอื่นโดยเด็ดขาด
แต่ถ้าหากเกิดเหตุการณ์ประหลาดพิสดารที่ทำให้ดวงอาทิตย์หายไปจริง ๆ โลกของเราและมนุษยชาติยังอยู่ เราก็คงจะงงและสับสนกันอย่างมาก มันกะทันหันเกินไป และในตอนที่เกิดขึ้น กว่าเราจะรู้ตัวก็เกือบจะ 10 นาทีแล้ว นั่นเพราะแสงเดินทางจากดวงอาทิตย์มายังโลกใช้เวลา 8 นาที 20 วินาที ตอนที่เราเห็นว่าดวงอาทิตย์หายไป คือตอนที่ดวงอาทิตย์หายไปจริง ๆ แล้ว หากจะจุดไฟกลับมาใหม่ก็ไม่ทันอยู่ดี แต่แรงโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์ที่ดึงดูดโลกของเราก็ยังจะมีต่อไปอีก 8 นาทีกว่า ๆ เช่นกันจึงจะหมด เพราะว่าแรงของมันก็เดินทางด้วยความเร็วแสง รวมถึงแรงดึงดูดของดวงอาทิตย์ที่มีต่อดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ อย่าง ดาวพุธ ดาวศุกร์ ดาวอังคาร เป็นต้น และในตอนที่เรารู้ว่าแสงหายไป ตอนนั้นโลกก็จะไร้แรงดึงดูดจากดวงอาทิตย์ ดาวโลกและดาวเคราะห์อื่น ๆ ก็จะเป็นอิสระ ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะของเราจะเป็นอิสระและเดินทางออกนอกวงโคจรปกติของตัวเอง พวกเราจะเดินทางเป็นเส้นตรงตามแนวเส้นสัมผัสวงโคจร ณ ขณะที่แรงดึงดูดหายไป เราจะยังคงมองเห็นดาวบนฟ้าต่อไปอีกสักพัก เพราะแสงเดินทางออกจากดวงอาทิตย์ที่ดับแล้วไปยังดาวเคราะห์และสะท้อนกลับมายังโลกจะใช้เวลาอีกสักพัก เราจะยังคงเห็นดาวพฤหัสต่อไปอีกอย่างน้อย ๆ ก็ 30 - 60 นาที ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของดาวพฤหัสบนวงโคจรของมัน ในขณะที่มันได้รับแสงสุดท้าย เป็นต้น
ภาพประกอบ : ลิขสิทธิ์ถูกต้องจาก Shutterstock
ลิขสิทธิ์ภาพขอสงวนเฉพาะสำหรับใช้งานในสื่อต่าง ๆ ของทรูปลูกปัญญา เท่านั้น
ห้ามไม่ให้นำภาพไปเผยแพร่ผ่านช่องทางอื่นโดยเด็ดขาด
เมื่อแสงจากดวงอาทิตย์หมดไป เราคงจะต้องใช้แสงจากกระแสไฟฟ้าและพลังงานจากฟอสซิลอีกสักพัก เมืองต่าง ๆ ก็ยังสามารถดำเนินกิจกรรมของมันต่อไปได้ด้วยแหล่งพลังงานจากมนุษย์ เหมือนช่วงเวลากลางคืนปกติ ยกเว้นว่ามันจะเป็นเวลากลางคืนในทุก ๆ ส่วนของโลกและตลอดไป Photosynthesis หรือกระบวนการสังเคราะห์แสงจะหยุดในทันที และนี่เป็นเรื่องใหญ่มาก ใหญ่ที่สุดเพราะต้นน้ำหรือแหล่งอาหารของทุกสิ่งมีชีวิตบนโลกของเรา ผลิตผลจากธรรมชาติกว่า 99.99% เกิดจากการสังเคราะห์แสง หากปราศจากดวงอาทิตย์ พืชผลก็จะไม่สามารถนำเอาคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปและปล่อยออกซิเจนเพื่อการดำรงชีวิตออกมาได้ แต่ออกซิเจนไม่ใช่สิ่งหลักที่เราต้องกังวล เพราะเราทั้ง 7 พันล้านคนหายใจเอาออกซิเจนเข้าไป 6 ล้านล้านกิโลกรัม แต่ชั้นบรรยากาศของเรามีออกซิเจนถึง 1 ล้านล้านล้านกิโลกรัม ดังนั้นแม้เราจะไม่มีกระบวนการสังเคราะห์แสงแต่เราก็จะยังไม่ขาดอากาศหายใจไปอีกน้อย ๆ ก็พันปี ซึ่งเราคงจะอดตายจากการขาดอาหารจากพืชก่อนที่จะขาดอากาศ ซึ่งพืชพรรณจะตายหมดภายใน 1 - 7 วัน แต่สำหรับต้นไม้ใหญ่ที่มีการสะสมอาหารไว้อยู่แล้วก็อาจจะอยู่ได้เป็นปีเหมือนกับอยู่ในช่วงฤดูหนาว เพราะเมื่อไม่มีดวงอาทิตย์โลกเราจะเย็นขึ้น และต้นไม้ใหญ่จะหนาวตายก่อนที่จะขาดอาหารเช่นกัน แม้ว่าเราอาจจะคุ้นเคยกับความเย็น แต่มันไม่ได้เกิดขึ้นพร้อม ๆ กันทั่วโลก และตลอดเวลาเช่นนี้ และเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เราต้องปรับตัว เพราะมันจะหนาวขึ้นเรื่อย ๆ แหล่งความร้อนตามธรรมชาติที่เหลืออยู่จะมีแค่แหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพเท่านั้น
ภาพประกอบ : ลิขสิทธิ์ถูกต้องจาก Shutterstock
ลิขสิทธิ์ภาพขอสงวนเฉพาะสำหรับใช้งานในสื่อต่าง ๆ ของทรูปลูกปัญญา เท่านั้น
ห้ามไม่ให้นำภาพไปเผยแพร่ผ่านช่องทางอื่นโดยเด็ดขาด
โลกจะไม่ได้ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งจากน้ำเท่านั้น แต่สสารอื่น ๆ หรือสารเคมีอื่น ๆ ก็อาจจะกลายเป็นของแข็งด้วยเช่นกัน เมื่ออุณหภูมิลดต่ำลงเรื่อย ๆ ในแต่ละปี ก๊าซที่เป็นส่วนประกอบในอากาศควบแน่นกลายเป็นของเหลว หรือกลายเป็นเมฆและกลายเป็นฝน และเมื่อมันหนาวขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะมีหิมะ สถานการณ์เหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ที่มีหิมะหรือฝนสารเคมีที่หนาวสุดขั้วจะเกิดขึ้นทุกที่บนโลก การที่จะเอาชีวิตรอดอยู่นอกบ้านจำเป็นต้องสวมชุดเฉพาะและตักเอาหิมะและออกซิเจนนำกลับเข้ามาในบ้านเพื่ออุ่นและทำให้มีอากาศหายใจได้
สถานที่ที่อยู่ได้สบายที่สุดกลับกลายเป็นใต้น้ำทะเลลึก น้ำแข็งหนาที่ปกคลุมผิวน้ำกลายเป็นฉนวนที่ดีในการกักความร้อนไว้ให้อยู่ใต้สมุทร แม้เวลาผ่านไปหลายร้อยหลายพันล้านปีหลังจากที่ดวงอาทิตย์หายไป มันก็จะยังมีน้ำ และสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ใต้ทะเลลึกใกล้กับเปลือกโลกก็จะยังอยู่ เพราะมันมีความร้อนที่ได้รับจากน้ำพุร้อนใต้มหาสมุทร สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กเช่น จุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่บริเวณน้ำพุร้อนใต้มหาสมุทรก็จะยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างปกติสุข เพราะมันอาศัยอยู่ใต้ทะเลลึกซึ่งไม่ได้ใช้ประโยชน์หรือสัมผัสกับแสงอาทิตย์อยู่แล้ว พวกมันคือ 0.01% ของสิ่งมีชีวิตบนโลกที่สร้างพลังงานได้โดยไม่ต้องพึ่งพาแสงอาทิตย์ มันได้พลังงานจากปฏิกิริยาเคมีซึ่งไม่ใช่การสังเคราะห์แสง พวกมันก็จะถูกกินโดยหอยและหนอนทั้งหลาย สิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ เหล่านี้จะเปลี่ยนแร่ธาตุกลับไปยังน้ำพุใต้น้ำและนั่นก็เป็นการครบวัฏจักรห่วงโซ่อาหารที่ไม่ต้องพึ่งพาดวงอาทิตย์ สิ่งมีชีวิตในวัฏจักรพิเศษเหล่านี้จะมีชีวิตอยู่ได้แม้ไม่มีดวงอาทิตย์ โดยที่ไม่รู้ว่ามีหรือไม่มีดวงอาทิตย์ด้วยซ้ำ
จุดดำหรือจุดดับของดวงอาทิตย์อาจจะเป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้วผ่านไป เรื่องที่กล่าวมาก็เป็นเพียงการคาดเดาจากหลักฐานและความเป็นไปได้ จนกว่าจะถึงเวลาที่จุดดำลุกลามไปใหญ่เกินควบคุม เราก็ทำได้เพียงจินตนาการว่าอะไรจะเกิดขึ้น แม้หลายคนจะไม่ชอบ หรือแม้กระทั่งเกลียดทุกคราวที่ต้องออกจากบ้านแล้วไปเผชิญกับความร้อนที่ถูกส่งออกมาจากดวงอาทิตย์ในหน้าร้อน แต่อย่างน้อยก็ขอให้ตระหนักไว้ว่า ชีวิตที่มีดวงอาทิตย์ที่ร้อนแรง มันก็ยังดีกว่าตอนที่เราไม่มีดวงอาทิตย์แน่ ๆ
เรียบเรียบโดย ทีมงานทรูปลูกปัญญา
ที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=rltpH6ck2Kc
http://www.spaceanswers.com/solar-system/what-would-happen-if-the-sun-disappeared/
http://earthsky.org/space/sun-light-motion-change
ภาพประกอบ : ลิขสิทธิ์ถูกต้องจาก Shutterstock
ลิขสิทธิ์ภาพขอสงวนเฉพาะสำหรับใช้งานในสื่อต่าง ๆ ของทรูปลูกปัญญา เท่านั้น
ห้ามไม่ให้นำภาพไปเผยแพร่ผ่านช่องทางอื่นโดยเด็ดขาด