ฟ้าผ่าไม่ได้มาพร้อมฝนเสมอไป ฟ้าผ่าเกิดจากการถ่ายเทของประจุไฟฟ้าในบรรยากาศบริเวณที่มีเมฆมาก แปลว่ามีโมเลกุลของน้ำในอากาศมากจึงทำให้มีประจุสะสมอยู่มาก อย่างไรก็ดีไม่ใช่เมฆทุกก้อนจะทำให้เกิดฝน และใช่ว่าเมฆทุกก้อนที่ทำให้เกิดฝนจะทำให้เกิดฟ้าผ่าได้เช่นกัน เมฆเกิดจากการรวมตัวของไอน้ำในอากาศ มีส่วนประกอบหลักเป็นโมเลกุลน้ำที่นำพาประจุไฟฟ้าในอากาศได้ดี
ภาพประกอบ : ลิขสิทธิ์ถูกต้องจาก Shutterstock
ลิขสิทธิ์ภาพขอสงวนเฉพาะสำหรับใช้งานในสื่อต่างๆ ของทรูปลูกปัญญา เท่านั้น
ห้ามไม่ให้นำภาพไปเผยแพร่ผ่านช่องทางอื่นโดยเด็ดขาด
เมฆจึงเป็นตัวประกอบหลักที่ทำให้เกิดฟ้าผ่าได้ หากบริเวณนั้นมีลมพัดผ่าน ลม ซึ่งมีโมเลกุลของของแก๊สต่าง ๆ ก็พัดพาเอาอิเลคตรอนลอยขึ้นไปกระทบกับก้อนเมฆ เกิดการไหลเวียนของประจุไฟฟ้าที่รวดเร็วและรุนแรง ทำให้เกิดการสะสมของประจุ ก่อตัวขึ้นภายในก้อนเมฆ โดยประจุบวกจะอยู่ด้านบนของก้อนเมฆ ในขณะที่ประจุลบอยู่ด้านล่างของเมฆ และเมื่อลมพัดก็ยิ่งทำให้ประจุบวกลอยตัวสะสมอยู่ด้านบนของก้อนเมฆมากกว่าเดิม และยิ่งเหนี่ยวนำให้ประจุลบซึ่งพัดมากับลมลอยตัวมาเกาะบริเวณด้านใต้ของก้อนเมฆมากขึ้น และเมื่อประจุลบที่อยู่ใต้ก้อนเมฆมีการสะสมอยู่เป็นจำนวนมาก จะเกิดการเหนี่ยวนำให้พื้นดินที่อยู่ใต้เงาเมฆบริเวณนั้นมีประจุบวก ตามมาด้วยสนามไฟฟ้าระหว่างก้อนเมฆและพื้นดินบริเวณนั้นและเมื่อประจุสะสมมากจนถึงจุดหนึ่งที่เรียกว่า ค่าความคงทนของอากาศต่อแรงดันไฟฟ้า การคายประจุจะเกิดขึ้นซึ่งเราเรียกมันอีกชื่อว่า ฟ้าผ่า
ภาพประกอบ : ลิขสิทธิ์ถูกต้องจาก Shutterstock
ลิขสิทธิ์ภาพขอสงวนเฉพาะสำหรับใช้งานในสื่อต่างๆ ของทรูปลูกปัญญา เท่านั้น
ห้ามไม่ให้นำภาพไปเผยแพร่ผ่านช่องทางอื่นโดยเด็ดขาด
โดยปกติแล้วฟ้าผ่าที่สังเกตได้คือการคายประจุระหว่างก้อนเมฆและพื้นดิน ซึ่งเป็นฟ้าผ่าแบบคายประจุลบลงสู่พื้นดิน อันจะเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ใต้เงาเมฆนั้น ๆ แต่ฟ้าผ่าก็อาจจะปล่อยประจุบวกได้เช่นกัน ฟ้าผ่าแบบบวกสามารถผ่าได้ไกลจากตัวก้อนเมฆก้อนหนึ่งไปอีกก้อนหนึ่ง มักเกิดหลังจากพายุฝนฟ้าคะนองซาไปแล้ว โดยผ่าได้ไกลถึง 40 กิโลเมตรในเสี้ยววินาที และเนื่องจากก้อนเมฆเองประกอบไปด้วยส่วนที่มีประจุบวกในด้านบนและประจุลบด้านล่าง ดังนั้นอาจเกิดการคายประจุในก้อนเมฆเองซึ่งเรียกว่า ฟ้าผ่าในก้อนเมฆ เมฆแต่ละก้อนก็มีระดับความสูง ขนาด และด้านของประจุที่แตกต่างกัน และนั่นอาจทำให้เกิดการคายประจุระหว่างก้อนเมฆได้ด้วย ซึ่งเป็นที่มาของฟ้าผ่าอีกรูปแบบคือ ฟ้าผ่าระหว่างก้อนเมฆ
ภาพประกอบ : ลิขสิทธิ์ถูกต้องจาก Shutterstock
ลิขสิทธิ์ภาพขอสงวนเฉพาะสำหรับใช้งานในสื่อต่างๆ ของทรูปลูกปัญญา เท่านั้น
ห้ามไม่ให้นำภาพไปเผยแพร่ผ่านช่องทางอื่นโดยเด็ดขาด
Maracaibo Lake ทะเลสาบมาราไคโบ ในประเทศเวเนซูเอล่าเป็นบริเวณที่เกิดฟ้าผ่ามากที่สุดในโลก โดยพื้นที่บริเวณนี้ จะมีพายุฟ้าแลบฟ้าผ่ากว่า 200 วันต่อปี วันละไม่ต่ำกว่า 10 ชั่วโมง ซึ่งแต่ละชั่วโมงจะมีฟ้าผ่ามากกว่า 280 ครั้ง ปรากฏการณ์ทางอากาศที่เกิดขึ้นบริเวณนี้ถูกเรียกว่า Catatumbo lightning เนื่องจากทะเลสาบเปิดขนาดใหญ่ซึ่งมีพื้นที่ 13,210 ตารางกิโลเมตรแห่งนี้คือบริเวณแม่น้ำคาตาตัมโบ และส่วนเปิดติดต่อกับทะเลทางตอนเหนือ ผ่านอ่าวเวเนซุเอล่าไปยังทะเลคาริบเบียน ปรากฏการณ์ฟ้าผ่าที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดไม่นานมานี้ แต่มีการบันทึกนับย้อนไปได้ตั้งแต่ยุคล่าอาณานิคมซึ่งกองทัพเรืออังกฤษได้เดินทางมาหมายจะบุกยึดดินแดนซึ่งถูกครอบครองโดยสเปนสมัยก่อน เมื่อเดินทางมาถึงก็พบกับฟ้าผ่าสว่างวาบเป็นเวลานานและสามารถเห็นได้ไกลกว่า 400 กิโลเมตรจนกระทั่งทำให้ชาวสเปนในพื้นที่สามารถมองเห็นกองทัพเรืออังกฤษได้ราวกับเวลากลางวัน และบริเวณนี้ยังได้รับชื่อเล่นว่า ประภาคารแห่งมาราไคโบ
นอกจากสภาพพื้นที่ของทะเลสาบที่มีขนาดใหญ่แล้ว น้ำที่ได้รับจากแม่น้ำคาตาตัมโบเองก็พัดพาเอาสารอินทรีย์และโคลนขุ่นจำนวนมากมายังทะเลสาบ ซึ่งสารอินทรีย์จำนวนมากที่กำลังสลายตัวก่อให้เกิดก๊าซมีเทนและเมื่อลอยตัวสูงขึ้นสู่อากาศพบกับการเสียดสีจากลมร้อนจากทะเล ลมหมุนจากแนวเทือกเขาแอนดีส เกิดเป็นความร้อน ทำให้อากาศขยายตัวอย่างรวดเร็ว และเกิดประจุจำนวนมาก ปัจจัยรวมทั้งหมดนี้ส่งผลให้ เมื่อเกิดการคายประจุจึงรุนแรงและยาวนานกว่าบริเวณอื่น ๆ ของโลก
แม้ว่าบริเวณทะเลสาบนี้จะไม่ใช่บริเวณที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดหากมองในแง่เกษตรกรรม หากแต่เป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรทางน้ำ และใต้พิภพ เพราะว่าที่แห่งนี้เป็นหนึ่งในแหล่งน้ำมันดิบที่มากที่สุดของทวีปแอฟริกาและเป็นเขตพื้นที่ที่สำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศเวเนซูเอล่า แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ท้องฟ้าที่มีการคายประจุอยู่อย่างต่อเนื่อง ยิ่งถ้าหากคุณเป็นคนกลัวฟ้าผ่าด้วยแล้วล่ะก็
เรียบเรียงโดย ทีมงานทรูปลูกปัญญา
ที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=doy2BsHc-44
https://en.wikipedia.org/wiki/Distribution_of_lightning
http://geology.com/articles/lightning-map.shtml
http://www.wondermondo.com/Countries/Af/CongoDR/SudKivu/Kifuka.htm
http://www.theguardian.com/travel/2015/mar/11/venezuela-lightning-lake-maracaibo
ภาพประกอบ : ลิขสิทธิ์ถูกต้องจาก Shutterstock
ลิขสิทธิ์ภาพขอสงวนเฉพาะสำหรับใช้งานในสื่อต่างๆ ของทรูปลูกปัญญา เท่านั้น
ห้ามไม่ให้นำภาพไปเผยแพร่ผ่านช่องทางอื่นโดยเด็ดขาด