วิชาศิลปะและการออกแบบ เป็นวิชาที่หลายคนใฝ่ฝัน เพราะเป็นวิชาที่ไม่เน้นระเบียบแบบแผนสักเท่าใดนัก ช่วยเปิดโลกทัศน์ให้กว้าง ผู้เรียนสามารถรังสรรค์ผลงานออกมาได้โดยอิสระ ซึ่งในปัจจุบันก็มีหลายสถาบันการศึกษาทั่วโลกที่เปิดสอนวิชาศิลปะในระดับปริญญากันมากมาย เพื่อรองรับตลาดแรงงานที่ต้องการบุคลากรทางด้านความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น สำหรับคนที่กำลังสนใจวิชาศิลปะ ลองมาฟังความคิดเห็นจาก เอมิเรีย โรบินสัน อาจารย์ที่มีประสบการณ์สอนวิชาศิลปะและการออกแบบมา 7 ปี ว่าเธอได้พบถึงความผิดพลาดของนักเรียนที่สอนมาว่ามีอะไรบ้าง
ศิลปะเป็นงานอดิเรกที่หลายคนมีไว้เพื่อผ่อนคลาย แต่หากคิดจะลงเรียนศิลปะอย่างจริงจังแล้วจะต้องเข้าใจไว้ว่ามันมีรายละเอียดมากกว่านั้นหลายเท่า และต้องส่งชิ้นงานทุกอาทิตย์ แถมมีความกดดันจากเพื่อนที่เก่งกว่า เรียกได้ว่าต้องใจรักจริงๆ ถึงจะเรียนรอด ศิลปะเป็นวิชาที่ไม่ได้จบแค่ในห้องเรียน ส่วนใหญ่ต้องเอางานมาทำต่อในเวลาว่างกันทั้งนั้น ถ้าอยากจะมาเรียนสนุกลุกนั่งสบาย ขอให้คิดดีๆ ว่าเราใจรักพอหรือเปล่า
การมีอารมณ์ร่วมกับสิ่งที่ทำถือเป็นเรื่องดี แต่บางคนมัวแต่สร้างอามรมณ์ตัวเองจนไม่ได้เริ่มลงมือทำอะไรสักที หรือบางทีก็คิดว่าไอเดียยังไม่ดีพอ ขอคิดไปเรื่อยๆ ก่อนดีกว่า ซึ่งคนที่คิดแบบนี้ส่วนใหญ่จะส่งงานไม่ทัน ฉะนั้น คิดอะไรออกมาได้ก็ลงมือทำไปก่อนดีกว่านะ ถ้ามันยังไม่ถูกใจก็ค่อยๆ ปรับแก้ต่อยอดจากสิ่งที่ทำไปเรื่อยๆ
ผลงานศิลปะที่ดีควรจะมีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ มีตัวตนของศิลปินอยู่ในนั้น และถ้าจะให้ดีก็ควรเริ่มทดลองอะไรใหม่ๆ บ้าง ผลงานจะได้ไม่ซ้ำซากน่าเบื่อ
การซ้อมฝีมือเป็นสิ่งสำคัญมากในการเรียนศิลปะ เพราะจะช่วยพัฒนาฝีมือของเราให้อยู่ในระดับที่เพิ่มขึ้น นักเรียนศิลปะหลายคนมีไอเดียยอดเยี่ยม แต่ขาดทักษะที่จะถ่ายทอดความน่าทึ่งเหล่านั้นออกมาให้ดีพอ ผลงานจึงดรอปลงอย่างน่าเสียดาย ผู้เรียนศิลปะควรรู้ว่าตัวเองมีจุดอ่อนอะไรและหมั่นฝึกฝนให้ดียิ่งขึ้น
ผลงานของนักเรียนศิลปะ ควรจะมีพัฒนาการที่ดีขึ้นตามลำดับ นักเรียนไม่ควรปล่อยให้ไอเดียย่ำอยู่กับที่ ควรศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมจากแหล่งต่างๆ เช่น เดินชมหอศิลป์ พิพิธภัณฑ์ ดูงานศิลปะของต่างประเทศ หรือบางทีก็ข้ามไปรับสื่อแขนงอื่นๆ เช่น หนัง เพลง หนังสือ เพื่อเปิดมุมมองใหม่ๆ ให้กับตัวเองบ้าง
ใครๆ ก็อยากทำงานให้ออกมาสมบูรณ์แบบกันทั้งนั้น แต่คำว่าสมบูรณ์แบบมันไม่มีอยู่จริงหรอก โดยเฉพาะในโลกของการทำงานจริง งานจะดีอย่างเดียวไม่ได้ งานต้องเสร็จตามกำหนดเวลาด้วย ดังนั้น ในชั้นเรียนวิชาศิลปะการส่งงานให้ตรงตามเวลา จึงเป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้ความสวยงามอลังการของผลงาน นักเรียนบางคนพอทำงานไปแล้วไม่ถูกใจก็ทิ้งแล้วไปทำชิ้นใหม่ สุดท้ายพอถึงกำหนดส่ง สิ่งที่ได้ออกมากลับเป็นงานที่เสร็จครึ่งๆ กลางๆ สองชิ้น เอาจริงๆ ถ้าเลือกทำชิ้นเดียว แล้วพยายามพัฒนาต่อให้มันดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ น่าจะดีกว่า
เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำมาก เพราะผลงานที่ได้จะขาดความเป็นตัวของตัวเองและขาดมุมมองใหม่ๆ นักเรียนศิลปะควรวาดจากวัตถุต้นแบบโดยตรง และแตกไอเดียจากความคิดสร้างสรรค์ของตัวเองมากกว่า แต่ก็อาจมีบางบทเรียนที่อาจารย์ให้โจทย์เป็นการเลียนแบบรูปวาดของศิลปินอื่นอยู่เหมือนกัน ทั้งนี้ก็ต้องดูความเหมาะสมเป็นกรณีๆ ไป
จริงๆ เรื่องการเขียนอธิบายชิ้นงานมันไม่มีหลักเกณฑ์ตายตัวว่าแบบไหนถูกหรือผิดหรอก แต่งานศิลปะที่ดีควรจะสามารถสื่อสารได้ด้วยตัวของมันเอง ถ้าต้องพึ่งคำอธิบายยืดยาวเกินพอดี นั่นอาจแปลว่างานชิ้นนั้นไม่สามารถสื่อสารได้ดีพอ แต่ถ้าเป็นวิชาวิเคราะห์ วิจารณ์งานศิลปะ แบบนี้จัดเต็มเลยค่ะ เขียนออกมาให้เต็มที่มีเท่าไหร่ใส่ไปไม่ต้องยั้ง
บางครั้งคนในสายอาชีพอื่นเขาอาจจะเข้าไม่ถึงผลงานของเรา เราก็ไม่ควรไปติสต์แตกใส่เขา (โดยเฉพาะถ้าคนนั้นเป็นลูกค้าแล้ว ต้องยิ่งควบคุมอารมณ์) นักเรียนศิลปะที่ดีควรมีทักษะในการนำเสนอผลงานติดตัวไว้บ้าง จะได้สามารถอธิบายงานของเราให้คนทั่วไปเข้าใจด้วยภาษาเข้าใจง่ายและทรงพลัง หรือพูดง่ายๆ ก็คือขายงานเป็นนั่นเอง
ที่สุดของความหายนะในนักเรียนศิลปะ ก็คือนิสัยผัดวันประวันพรุ่งนี่แหละ เพราะถือเป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ที่ขวางความสำเร็จของผู้คนมานักต่อนัก หากคุณมีไอเดียยอดเยี่ยม ฝีมือเลิศล้ำ แต่ไม่ลงมือทำงานมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร จำไว้ว่ามีของต้องปล่อยออกมา
เรียบเรียงโดย Ary.kree