อารมณ์ที่ขุ่นมัวนั้นย่อมเป็นอุปสรรคอย่างมากกับการใช้ชีวิต เพราะทำให้เรารู้สึกไม่ดีกับสิ่งรอบตัวและอาจรวมถึงตัวเอง ซึ่งถ้าเราไม่รู้เท่าทันอารมณ์ที่ขุ่นมัวนี้และปล่อยตัวปล่อยใจให้เป็นไปตามอารมณ์ ก็อาจจะนำมาซึ่งความเครียด จนก่อเกิดเป็นความรุนแรง ความเสียหาย และการสูญเสียที่เกินกว่าที่คิดได้
ด้วยเหตุนี้เราจึงจำเป็นต้องเรียนรู้และรับรู้ถึงอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองอยู่ทุกขณะ และควรตั้งมั่นอยู่ในสติตลอดเวลา เพื่อไม่ให้อารมณ์ความรู้สึกของเรานั้นเป็นตัวนำพาเราไปสู่ปัญหาต่าง ๆ โดยเราควรจะมีแนวทางในการสงบสติและบำบัดอารมณ์ให้กลับมาสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด ซึ่งเรื่องเหล่านี้นอกจากอายุและวุฒิภาวะที่มีผลต่อการควบคุมอารมณ์แล้ว การฝึกให้ตัวเองมีทักษะในการจัดการด้านอารมณ์ที่ดีนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้เราสามารถจัดการกับอารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม
สำหรับวัยเด็ก ด้วยความที่ทักษะในการจัดการด้านอารมณ์นั้นยังไม่ดีเท่ากับผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะ ทำให้เราจึงมักเห็นเด็ก ๆ ที่มีอารมณ์ขุ่นมัว แปรเปลี่ยนเป็นความเสียใจหรือความโมโหร้าย ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ถ้าไม่ได้รับการปรับพฤติกรรมอย่างเหมาะสมก็อาจจะกลายเป็นอุปนิสัยประจำตัวของเด็กที่มักจะเลือกตอบสนองเช่นนี้กับสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันในอนาคต
ดังนั้นเพื่อให้เด็กสามารถจัดการกับอารมณ์ที่ขุ่นมัวของตัวเองได้อย่างเหมาะสม 4 ข้อแนะนำเหล่านี้ คือเรื่องสำคัญที่จะต้องให้เด็กเรียนรู้และนำไปใช้เพื่อควบคุมอารมณ์ที่ขุ่นมัวของเขา และทำให้อารมณ์เหล่านั้นกลับสู่ภาวะปกติอีกครั้ง
การที่เราสามารถรับรู้ได้ว่าอารมณ์ ณ ขณะนี้เป็นแบบใดนั้น เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เรารับรู้และจัดการกับอารมณ์เหล่านั้นได้อย่างเหมาะสม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการตระหนักรู้ตนเองที่เรียกว่า Self-awareness อันเป็นความสามารถในการมองเห็นตัวเองและตระหนักถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้อย่างชัดเจน ผ่านการรับรู้และเข้าใจสภาวะต่าง ๆ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เราสามารถควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น
วิธีการที่ช่วยให้เด็กเรียนรู้ที่จะรับรู้อารมณ์ของตัวเอง คือ การให้เด็กรู้จักที่จะประเมินตนเองในสถานการณ์ต่าง ๆ โดยผู้ปกครองและครูผู้สอน ควรเปิดโอกาสให้เด็กสำรวจตัวเองและบอกว่า ณ ขณะนั้นเขามีอารมณ์ความรู้สึกเช่นไรกับสิ่งเร้าหรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งการสอบถามเช่นนี้ จะช่วยให้เด็กเรียนรู้ที่จะฉุกคิดและสำรวจตัวเองอยู่เสมอ
ทุกครั้งที่มีสิ่งเร้าหรือเหตุการณ์เข้ามารบกวนจิตใจของเรา และส่งผลทำให้เราไม่พึงพอใจ จนเกิดเป็นสภาวะทางอารมณ์ที่ไม่คงที่ ทักษะทางอารมณ์จิตใจอย่างหนึ่งที่ควรต้องมีคือ การสงบสติอารมณ์ ไม่ตีโพยตีพายหรือตอบสนองต่อสิ่งเร้าหรือเหตุการณ์เหล่านี้ด้วยความรุนแรงหรือพฤติกรรมที่ไม่ดี เช่น เศร้าโศกเสียใจด่าทอ ขว้างปาสิ่งของ หรือ ทำร้ายร่างกายผู้อื่น ซึ่งการกระทำเช่นนั้น อาจนำมาซึ่งความเสียหายและผลกระทบอย่างร้ายแรงกับตัวของเราได้
เราสามารถสงบสติอารมณ์ได้ด้วยเทคนิคที่หลากหลาย เช่น เดินหนีหรืออาจการสิ่งเร้าหรือสถานการณ์ที่กดดันนั้น หรือ ใช้การนับเลข หลับตาและทำสมาธิเพื่อปรับสภาวะอารมณ์ ซึ่งเทคนิคเหล่านี้ ควรสอนให้เด็กนำไปใช้ เมื่อเขาต้องเผชิญกับสิ่งเร้าหรือสถานการณ์บางสถานการณ์ที่อาจส่งผลให้เขาไม่พอใจ นอกจากนี้การฝึกสงบสติอารมณ์ได้ยังช่วยให้เด็กมีความอดทนและเข้าใจอารมณ์ของตัวเองมากขึ้น
การสงบสติอารมณ์นั้นมีข้อดีหลายอย่าง ทั้งกับตัวเอง และรวมถึงคู่กรณีที่ส่งผลให้เกิดความไม่พอใจด้วย เพราะในบางสถานการณ์ ทั้งตัวเราและคู่กรณีอาจอารมณ์เสียจนทะเลาะกัน ขาดสติและทำให้เกิดความรุนแรงตามมาได้ แต่ถ้าเราสามารถสงบสติอารมณ์และพูดคุยกันด้วยสติ คู่กรณีก็อาจจะลดระดับอารมณ์ความโกรธเกรี้ยวลง และทำให้เราสื่อสารกันอย่างเข้าใจมากขึ้น ทำให้สามารถคลี่คลายปัญหาต่าง ๆ ได้ โดยง่าย
เป็นธรรมดาที่สถานการณ์ต่าง ๆ มีทั้งสถานการณ์ที่เป็นใจและไม่เป็นใจ ซึ่งแม้เราจะเตรียมพร้อมที่ดีแล้ว ก็อาจเกิดเหตุไม่คาดฝันหรือเหตุสุดวิสัยได้ เราจึงต้องรู้จักที่จะยอมรับอย่างเข้าใจ กับเหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่ผิดพลาดเหล่านั้น และเลือกที่จะวางปล่อยมันเสีย
เด็กอาจจะพบเจอกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันง่าย ๆ หลายอย่าง อย่างเช่น ฝนตกทำให้พวกเขาไม่ได้ออกไปเที่ยว รถติดมากจนเขาพลาดรอบภาพยนตร์ หรือแม้แต่การเรียงโดมิโนชิ้นสุดท้าย แต่สัตว์เลี้ยงกลับทำให้ล้มเสียก่อน ซึ่งสถานการณ์สุดวิสัยเหล่านี้อาจทำให้เขาเสียใจและโมโหกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งผู้ปกครองควรใช้โอกาสนี้การสอนให้เขารู้จักใช้คำว่าไม่เป็นไร เพื่อให้เขายอมรับกับเหตุการณ์ต่าง ๆ อย่างเข้าใจ และปล่อยวางกับเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้ว
สำหรับเหตุการณ์ที่เป็นการลงมือทำต่าง ๆ แม้ว่าเราจะสอนให้เด็กรู้จักปล่อยวางจากความผิดพลาด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องสอนให้เขายอมแพ้กับอุปสรรคที่เกิดขึ้น เพราะสำหรับเหตุการณ์ที่เป็นการปฏิบัติของเขานั้นแม้ว่าจะมีความผิดพลาดจนไม่ประสบผลสำเร็จ สิ่งสำคัญที่สุดที่เด็กจะต้องเรียนรู้จากสิ่งนี้ ก็คือ การล้มและต้องลุกให้ได้ ซึ่งผู้ปกครองหรือครูผู้สอน อาจแนะนำให้เขาศึกษาข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น และกระตุ้นให้พวกเขาเริ่มต้นใหม่ ซึ่งการล้มและลุก จะช่วยให้เด็กเรียนรู้จะความผิดพลาดและมีความมุ่งมั่นที่จะทำทุกอย่างให้สำเร็จ ในขณะเดียวกันก็ทำให้เขาเชื่อมั่นว่า แม้จะล้มเหลวแค่ไหนก็สามารถที่จะเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ
เรียบเรียงโดย : นรรัชต์ ฝันเชียร