5,768 Views
Favorite
สำหรับนักเรียนแล้ว ผู้ที่ต้องประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รวมถึงทักษะ พฤติกรรมและพัฒนาการในด้านต่าง ๆ ให้กับพวกเขานั้นก็คือครูผู้สอน ซึ่งนอกจากจะทำงานหน้าที่หลักในการสอนและเป็นที่ปรึกษาให้กับนักเรียนแล้ว ก็ยังมีหน้าที่ในการประเมินผลนักเรียนตามความเป็นจริงด้วย และแน่นอน มันเป็นเรื่องธรรมดาอย่างมากที่ครูผู้สอนนั้นก็มักที่จะคาดหวังให้นักเรียนเป็นคนที่เรียบร้อยและสุภาพ ซึ่งถ้านักเรียนคนใดที่มีลักษณะดังกล่าว ก็มักจะได้รับคะแนนที่ดีจากครูผู้สอน แต่ในทางตรงข้าม สำหรับนักเรียนที่มีพฤติกรรมไม่ดีนัก ครูผู้สอนก็มักจะเข้มงวดกับการให้คะแนนมากเป็นพิเศษ จนบางครั้งแทบจะไม่เกี่ยวกับสิ่งที่นักเรียนทำได้เลยด้วยซ้ำ
สิ่งนี้สอดคล้องกับรายงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยควีนส์ยูนิเวอร์ซิตี้เบลฟาสต์ และวิทยาลัยโกลด์สมิธ ที่พบว่า เด็กเรียบร้อยที่เป็นที่ชื่นชอบของครูอาจารย์นั้น จะได้คะแนนในการสอบเพิ่มขึ้นมาถึงร้อยละ 10 ซึ่งเป็นคะแนนที่ไม่สอดคล้องกับผลการสอบที่ออกมา ซึ่งผลการวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่า ครูผู้สอนนั้นมีโอกาสที่จะลำเอียงให้คะแนนกับนักเรียนที่มีความประพฤติดีสูงกว่าและนักเรียนที่มีความประพฤติไม่ดีอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ผลการศึกษายังพบอีกว่า ครูผู้ใหญ่นั้นมักมีอารมณ์อ่อนไหว โดยแอบเห็นใจนักเรียนที่ดูน่าสงสาร กำลังประสบปัญหาต่าง ๆ มีอารมณ์ตึงเครียดหรือมีสภาพจิตใจเปราะบางซึมเศร้า ซึ่งครูผู้ใหญ่เหล่านี้มักจะให้คะแนนพิเศษหรือปล่อยผ่านให้กับนักเรียนกลุ่มดังกล่าว
สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า ในการให้คะแนนของครูผู้สอนนั้นมักเจือปนไปด้วยความลำเอียงและอคติ จากพฤติกรรมและอุปนิสัยของนักเรียนที่แสดงออกมา โดยเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทั้งที่ครูผู้สอนรู้ตัวและไม่รู้ตัว และอาจส่งผลทำให้ครูผู้สอนประเมินผลนักเรียนไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
ดังนั้นเพื่อไม่ให้ความลำเอียงและอคติของครูผู้สอนนั้น มีผลต่อการให้คะแนนนักเรียน นอกจากการที่ครูผู้สอนจะต้องตั้งมั่นอยู่ในความเที่ยวตรงแล้ว วิธีการต่อไปนี้น่าจะช่วยให้ครูผู้สอนสามารถให้คะแนนนักเรียนได้อย่างถูกต้องและเป็นไปตามศักยภาพของนักเรียนมาที่สุด
การสอบแบบปรนัย หรือ การที่ผู้ทำข้อสอบจะต้องเลือกคำตอบที่ถูกต้องนั้น เป็นการสอบที่สามารถให้คะแนนได้ตายตัว เพราะมีการกำหนดคะแนนจากคำตอบที่ถูกต้องอยู่แล้ว ทำให้ความลำเอียงหรืออคติของครูผู้สอนนั้นไม่มีผลต่อการให้คะแนน มันจึงเป็นข้อสอบที่สามารถวัดผลการเรียนรู้ได้อย่างแท้จริง และถูกนำมาใช้ในการสอบทั่วไปในระดับต่าง ๆ แต่อย่างไรก็ดี การสอบแบบแบบปรนัยนั้นก็มีข้อจำกัดตรงที่ ไม่สามารถวัดการคิดวิเคราะห์สังเคราะห์ขั้นสูงของนักเรียนได้ จึงไม่เหมาะสมกับวิชาที่ต้องแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ ซึ่งควรหันไปใช้ข้อสอบแบบอื่นแทน
ในการตรวจข้อสอบ จะเป็นการดีมากถ้าครูผู้สอนสลับกันตรวจข้อสอบของนักเรียน โดยสลับตรวจกับห้องเรียนอื่นเพื่อลดโอกาสที่จะเกิดความเห็นใจหรือลำเอียงให้คะแนนกับนักเรียนที่อยู่ในความดูแลของตัวเองสูงจนเกินกว่าความเป็นจริง
ในกรณีที่เป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ ในรายวิชามีครูผู้สอนหลายท่าน การตรวจข้อสอบที่เป็นอัตนัย สามารถตรวจและให้คะแนนกันหลายคนก่อนที่จะมาหาค่าเฉลี่ยที่เป็นคะแนนที่แท้จริงได้ ซึ่งจะเป็นการถ่วงดุลให้นักเรียนได้รับคะแนนที่เป็นจริงมากขึ้น โดยเริ่มต้นจากการให้ครูผู้สอนแต่ละท่านตรวจให้คะแนน แล้วตัดคะแนนที่สูงสุดและน้อยที่สุดออก แล้วจึงนำมาหาค่าเฉลี่ยซึ่งจะกลายเป็นคะแนนแท้จริงที่นักเรียนได้รับมากกว่าการตรวจโดยครูผู้สอนท่านเดียว
หลังจากนักเรียนส่งข้อสอบ ควรมีการปกปิดชื่อ เลขที่และชั้นเรียน ก่อนนำมารวมกันและแยกใหม่ เพื่อส่งให้ครูผู้สอนแต่ละคนตรวจและให้คะแนน ซึ่งครูผู้สอนนั้นจะไม่ทราบว่าข้อสอบที่กำลังตรวจนั้นเป็นของใคร และทำให้อคติที่ความลำเอียงที่อาจจะเกิดขึ้นในไม่มีผลต่อการตรวจและให้คะแนนในการสอบ
ควรให้นักเรียนสอบโดยการพิมพ์เอกสารลงในคอมพิวเตอร์ แทนการเขียนด้วยลายมือ ซึ่งการเขียนด้วยลายมือนั้น อาจทำให้ครูผู้สอนจำได้ว่าเป็นลายมือของใคร และส่งผลให้เกิดความลำเอียงและอคติได้ แต่อย่างไรก็ดี การให้นักเรียนสอบโดยการพิมพ์ลงในคอมพิวเตอร์นั้น จะต้องแน่ใจว่าการสอบมีความโปร่งใสและปลอดภัยจากการทุจริต ซึ่งควรใช้คอมพิวเตอร์ที่มีการจัดเตรียมไว้เฉพาะ หรือมีขั้นตอนการตรวจสอบอย่างเหมาะสม
ความลำเอียงและมีอคติของครูผู้สอนนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ และบางครั้งมันก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากความไม่รู้ตัว ซึ่งเหตุสุดวิสัยมากกว่าที่จะเป็นความตั้งใจ ดังนั้นการวางระบบวัดผลและประเมินผลให้ความลำเอียงและอคติของครูผู้สอนนั้นมีผลกระทบน้อยที่สุด คือหนทางสำคัญที่น่าจากจะช่วยครูผู้สอนประเมินผลอย่างเหมาะสม ทำให้เกิดความโปร่งใส และทำให้นักเรียนทราบถึงศักยภาพที่แท้จริงของตัวเองได้มากที่สุด
เรียบเรียงโดย : นรรัชต์ ฝันเชียร
