ก่อนหน้านี้ วัคซีนชนิด mRNA ยี่ห้อนี้ ได้ถูกส่งมาให้ในฐานะวัคซีนที่บริจาคให้โดยทางการสหรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่ได้นำไปฉีดเป็นเข็มกระตุ้นให้กับบุคลากรทางการแพทย์ จำนวนกว่า 1.5 ล้านโดส ก่อนที่ล็อตของการสั่งซื้อจะเข้ามาในช่วงเดือนนี้ ซึ่งทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ระบุผู้ที่จะรับวัคซีนชนิดนี้ โดยส่วนใหญ่คือเด็กอายุระหว่าง 12-18 ปี ซึ่งก็คือนักเรียนในวัยมัธยมศึกษานั่นเอง
วัคซีน mRNA ยี่ห้อนี้ เป็นเพียงไม่กี่ยี่ห้อที่ได้รับรองจากองค์การอนามัยโลกว่า สามารถฉีดให้เด็กและเยาวชนที่มีอายุ 12 ปี ขึ้นไปได้ และกำลังจะขอยื่นให้อนุมัติใช้กับเด็ก 5-11 ปี ซึ่งสอดคล้องกับองค์การอาหารและยาของไทยที่ได้รับรองวัคซีนชนิดนี้ เพื่อใช้สำหรับเด็กและเยาวชนในช่วงอายุดังกล่าว โดยในการจะฉีดให้กับเด็กและเยาวชนนั้น แม้จะเป็นไปตามสมัครใจของนักเรียน แต่ก็ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองก่อน ถึงจะดำเนินการฉีดให้กับเด็กและเยาวชนได้
ตั้งแต่วันที่ 4 ตุลาคมที่ผ่านมา มีนักเรียนที่ลงทะเบียนรับวัคซีนโดยได้รับการยินยอมจากผู้ปกครองเป็นจำนวนมาก โดยในสังกัดของกระทรวงศึกษาธิการ มีถึงร้อยละ 71.67 ในขณะที่สังกัดกรุงเทพมหานคร มีนักเรียนที่ยินยอมถึงร้อยละ 88.21 เลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ดี มีกระแสเกี่ยวกับการปฏิเสธรับวัคซีนชนิดนี้ แม้จะลงทะเบียนแล้ว เนื่องจากความวิตกกังวลในประสิทธิภาพและผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพของนักเรียนและการกลายพันธุ์ของโรค
วัคซีนป้องกันโรค Covid19 ยี่ห้อ Pfizer นั้น เป็นวัคซีนชนิด mRNA ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ในการผลิตวัคซีน โดยการทำงานนั้น เป็นการนำสารพันธุกรรมของเชื้อโควิด-19 (mRNA) ส่วนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างโปรตีนและส่วนที่เป็นปุ่มหนามของเชื้อไวรัส (Spike protein) นำมาสังเคราะห์ให้เป็นรหัสคำสั่งที่เรียกว่า S-spike mRNA แล้วจึงฉีดเข้าไปในร่างกายเพื่อทำให้เซลล์ในร่างกายผลิตโปรตีนส่วนที่เป็นปุ่มหนามของไวรัสขึ้นมาและกระตุ้นภูมิคุ้มกัน (Antigen) เพื่อให้ร่างกายรู้จักกับเชื้อโรคโควิด-19 ซึ่งจะทำให้ร่างกายเรียนรู้โรคและขจัดมันออก จึงสามารถป้องกันการเจ็บป่วยหรือเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ได้ ในขณะเดียวกัน สารพันธุกรรมที่เข้าไปสู่ร่างกายก็จะถูกโปรแกรมให้สลายตัวหรือถูกร่างกายขับออกมา จึงไม่มีการสะสมในร่างกายจนอาจทำให้กลายพันธุ์อย่างที่หลาย ๆ คนกังวล
วัคซีนชนิด mRNA นั้น หลายงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าเป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าวัคซีนชนิดอื่น ๆ ในการป้องกันโรควิด19 ทั้งประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อ การนอนโรงพยาบาล หรือ การเสียชีวิต ทำให้หลายประเทศใช้วัคซีนชนิดนี้เป็นวัคซีนหลัก เช่น สหรัฐอเมริกา และแคนาดา เป็นต้น ซึ่งช่วยลดอัตราการติดเชื้อได้
ส่วนผลข้างเคียงของวัคซีนชนิด mRNA ที่พบบ่อย ได้แก่ ความรู้สึกเจ็บบริเวณตำแหน่งที่ฉีด อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ อาจเกิดอาการบวมแดงในบริเวณที่ฉีด มีไข้ หนาวสั่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดข้อ ซึ่งเป็นอาการทั่วไป ๆ หลังจากรับวัคซีน
ส่วนอาการที่น่าเป็นกังวล เช่น อาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและหรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบนั้น เป็นอาการข้างเคียงที่พบได้น้อยมาก และสามารถรักษาให้หายได้
อย่างไรก็ดี ร่างกายของคนเราแต่คนนั้น มีความแตกต่างกัน วัคซีนบางชนิดอาจทำให้เกิดอาการแพ้ที่รุนแรงได้ ดังนั้นหลังจากรับวัคซีนแล้ว ควรสังเกตดูอาการตัวเองว่ามีความผิดปกติหรือไม่ และควรไปพบแพทย์ทันทีถ้าพบสัญญาณที่ผิดปกติ
วัคซีนไม่ว่าจะชนิดใด ถ้าสามารถฉีดให้กับประชาชนได้ครอบคลุมจะสามารถที่จะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้ และยิ่งกับวัคซีนชนิด mRNA ด้วยแล้ว ก็จะช่วยป้องกัยผู้รับวัคซีนได้มากขึ้น ด้วยเหตุนี้ มันจึงเรื่องสำคัญที่จะต้องจูงใจให้นักเรียน รวมถึงผู้ปกครองที่ยังคงกังวลหรือลังเล ให้รีบพานักเรียนเข้ารับการฉีดวัคซีน เพื่อให้นักเรียนสามารถกลับมาเรียนในภาคเรียนที่สองได้ตามปกติ ซึ่งสิ่งที่โรงเรียนรวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการสนับสนุนในเรื่องนี้นั้น ได้แก่
1. ให้ความรู้ความเข้าใจกับนักเรียนและผู้ปกครอง ถึงประสิทธิภาพของวัคซีนและความจำเป็นในการที่นักเรียนจะต้องเข้ารับวัคซีน รวมถึงชี้แจงถึงผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นและแนะนำแนวทางในการช่วยเหลืออย่างเหมาะสม
2. ทั้งครูผู้สอนและผู้ปกครองจะต้องเป็นแบบอย่างที่ดี ในการเข้ารับวัคซีน โดยทั้งครูผู้สอน รวมถึงผู้ปกครองจะต้องเข้ารับวัคซีนตามที่กำหนด เพื่อความปลอดภัยทั้งกับตัวครูผู้สอน ผู้ปกครอง รวมถึงช่วยให้เกิดความปลอดภัยกับนักเรียนด้วย
3. ไม่ควรบังคับให้นักเรียนเข้ารับวัคซีน ถ้าตัวนักเรียนหรือผู้ปกครองไม่ยินยอม เพราะจะเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล แต่ควรสร้างความมั่นใจให้นักเรียนและผู้ปกครองว่า การให้วัคซีนนั้นปลอดภัย และเป็นไปตามหลักสากล
4. โรงเรียนควรชี้แจงขั้นตอนในการรับวัคซีน และการเตรียมตัวอย่างเหมาะสมกับผู้ปกครองและนักเรียน เพื่อให้พวกเขาเตรียมความพร้อม ซึ่งช่วยลดความกดดันบางส่วนลงได้
5. จัดให้สถานที่สำหรับฉีดวัคซีนในบรรยากาศที่ผ่อนคลายและปลอดภัย เพื่อไม่ให้นักเรียนรู้สึกกดดันหรือเป็นกังวลในการรับวัคซีน
6. มีหน่วยงานติดตามสอบถามเกี่ยวกับสุขภาพของนักเรียนหลังจากได้รับการฉีดวัคซีน โดยมีการติดต่อสอบถามอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมให้ผู้ปกครองและนักเรียนได้สังเกตอาการของตัวเอง
7. ไม่ควรจัดให้มีการฉีดวัคซีนเพียงรอบเดียว แต่ควรเปิดโอกาสให้นักเรียนสามารถเปลี่ยนใจเข้ารับวัคซีนได้เป็นระยะตามกำหนดเวลา
8. สำหรับนักเรียนที่ยังไม่ประสงค์จะรับวัคซีน โรงเรียนจะต้องมีมาตรการป้องกันและคัดกรองโรค โดยต้องคำนึงถึงความเท่าเทียมกัน โดยไม่แบ่งแยก
การฉีดวัคซีน ถ้าเป็นไปได้ภาครัฐควรเปิดโอกาสให้นักเรียนมีสิทธิที่จะรับวัคซีนชนิดใดก็ได้ตามความต้องการ มากกว่าจะเป็นชนิดใดชนิดเดียว แต่นั่นก็ต้องขึ้นอยู่กับความพร้อมและความจำเป็นต่าง ๆ ด้วยว่าสามารถที่จะดำเนินการได้มากน้อยเพียงใด
อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าเรารับวัคซีนไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นชนิดใด เราก็ยังจำเป็นต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค เช่น เว้นระยะห่าง ใส่หน้ากากอนามัย และล้างมือเป็นประจำ เพราะอย่าลืมว่า ฉีดวัคซีนก็มีโอกาสที่จะติดเชื้อได้อยู่ดี ถ้าขาดการระมัดระวังตัวเอง
เรียบเรียงโดย : นรรัชต์ ฝันเชียร