Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา

หยุดเรียน 1 ปี ดีหรือเสีย ?

Posted By Plook Teacher | 11 ส.ค. 64
6,105 Views

  Favorite

กลายเป็นกระแสทางสังคมที่เกิดขึ้น หลังจากมีนักวิชาการจำนวนหนึ่ง เสนอให้หยุดเรียนทั่วประเทศเป็นเวลา 1 ปี แล้วค่อยให้นักเรียนกลับมาเรียนใหม่อีกครั้งเมื่อสถานการณ์ดีขึ้น หลังจากที่พบว่า การเรียนออนไลน์นั้นไร้ประสิทธิภาพ และมีนักเรียนที่โดดเรียนออนไลน์ถึงกว่าร้อยละ 20 ซึ่งส่งผลทำให้การเรียนรู้ของนักเรียนถดถอยอย่างมาก โดยมีการได้ยกผลสำรวจทั่วโลกที่ได้แสดงให้เห็นว่า การเรียนออนไลน์ 1 ปีนั้น ส่งผลทำให้การศึกษาถดถอยถึงกว่าร้อยละ 20 ถึง ร้อยละ 50 เลยทีเดียว 

เรื่องนี้กลายเป็นข้อถกเถียงและแสดงความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวาง หลายคนมองว่า ข้อเสนอนี้จะเป็นผลเสียมากกว่าที่จะเป็นผลดี เพราะการหยุดพักเรียนทั้งระบบนั้น จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อระบบการศึกษาและการเปลี่ยนผ่าน ในขณะที่หลายคนก็มองว่าเป็นเรื่องที่ดี และทำให้นักเรียนผ่อนคลายมากขึ้น

 

ในเรื่องนี้ สำหรับผู้เขียนนั้น ไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่นัก เพราะมองว่าการเรียนออนไลน์นั้นไม่ใช่ต้นตอของปัญหา และถึงแม้ว่ามันไม่ได้ออกแบบมาให้ครอบคลุมกับการศึกษาทุกกลุ่ม แต่ก็ใช่ว่ามันจะไร้ประโยชน์ไปเสียทั้งหมด ซึ่งผู้เขียนมีมุมมองเกี่ยวกับเรื่องนี้ดังนี้

การเรียนออนไลน์เทียบไม่ได้กับการเรียนในชั้นเรียน แต่ก็ไม่ไร้ประโยชน์

ถึงแม้ว่าการเรียนออนไลน์ มันเทียบไม่ได้กับการเรียนในชั้นเรียน เพราะการเรียนในชั้นเรียนนั้น นักเรียนจะได้ซึบซับบรรยากาศการเรียนรู้ รวมถึงมีอุปกรณ์การเรียนที่เอื้อให้นักเรียนเรียนรู้และปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งกิจกรรมการเรียนการสอนหลายอย่างก็ไม่สามารถที่จะเรียนรู้ได้หรือเรียนรู้ได้ยากระหว่างเรียนออนไลน์ แต่อย่างไรก็ดี การเรียนออนไลน์ก็ยังมีประโยชน์ในหลาย ๆ วิชา ซึ่งนักเรียนสามารถที่จะเรียนรู้และสืบค้นข้อมูลความรู้เพิ่มเติมได้ในขณะเดียวกัน ทำให้กิจกรรมการเรียนรู้ที่เป็นการวิเคราะห์วิจารณ์ พูดคุย อภิปรายหรือแสดงความคิดเห็น กลายเป็นกิจกรรมที่น่าสนใจมากขึ้นในระหว่างเรียนออนไลน์

 

ส่งผลกระทบกับการเปลี่ยนผ่านทางการศึกษา

หลายคนอาจมองว่าการหยุดพัก 1 ปีการศึกษามันเป็นเรื่องที่ง่าย แต่ในมุมมองของนักเรียน โดยเฉพาะนักเรียนที่อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านทางการศึกษาและมีแนวทางที่ชัดเจน การให้ตัวเองต้องหยุดเรียน 1 ปี นั้นอาจส่งผลกระทบต่อพวกเขาอย่างมาก เพราะอาจทำให้เขาพลาดโอกาสในการเข้าเรียนตามที่มุ่งหวังหรือทำให้ต้องเสียเวลาในการเรียนมากขึ้น

 

ระบบการศึกษาไม่ได้มีแค่นักเรียน

อย่าลืมว่าระบบการศึกษานั้นไม่ได้มีแค่เรื่องการเรียนของนักเรียน เพียงเท่านั้น เรายังมีหลายอย่างที่เกี่ยวเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของบุคลากรครู และงบประมาณ การให้หยุด 1 ปีและเริ่มต้นใหม่นั้น ส่งผลกระทบอย่างมากมายในการบริหารสถานศึกษา เพราะถ้าให้นักเรียนหยุดเรียน นั่นหมายความว่า สถานศึกษาหลายแห่งโดยเฉพาะสถานศึกษาเอกชน จะไม่มีค่าใช้จ่ายหรือสามารถเรียกเก็บได้เพียงเล็กน้อย ซึ่งอาจส่งผลทำให้สถานศึกษาหลายแห่งต้องปิดกิจการเนื่องจากขาดสภาพคล่องทางการเงิน หรือในทางกลับกัน ถ้าสถานศึกษายังสามารถเรียกเก็บค่าใช้จ่ายได้ มันก็เป็นภาระผู้ปกครองที่ต้องจ่ายค่าเล่าเรื่องเพื่อรักษาสภาพนักเรียนโดยที่นักเรียนไม่ได้อะไรเลย

 

ปัญหาอยู่ที่การสอนออนไลน์

เรื่องนี้เราต้องย้อนกลับมาดูว่า การสอนออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพน้อยลงนั้น เกิดขึ้นจากสาเหตุอะไร เรารู้อยู่แล้วว่าสาเหตุหลัก ๆ คือเรื่องของการเข้าถึงการเรียนออนไลน์ที่มีนักเรียนบางกลุ่มที่เข้าถึงได้น้อย แต่ถึงกระนั้น เราก็สามารถจัดการเรียนการสอนด้วยวิธีอื่นทดแทนได้ซึ่งสามารถใช้ได้กับบางพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดไม่มากนัก หรือก็อาจให้การช่วยเหลือด้านอุปกรณ์และสัญญาณกับนักเรียนที่ขาดแคลน เพื่อให้พวกเขาเข้าถึงการเรียนออนไลน์ได้ดีขึ้น แต่อีกเรื่องหนึ่งที่ผู้เขียนมองว่าเป็นปัญหา คือเรื่องของรูปแบบการสอนออนไลน์ที่หลายโรงเรียนดำเนินการเป็นตารางสอน เหมือนการเรียนในชั้นเรียน ซึ่งเป็นแนวทางที่ไม่ถูกต้องนัก

การเรียนที่มีมากมายหลายวิชานั้น เราไม่จำเป็นจะต้องอัดทุกอย่างลงไปในตารางเรียนออนไลน์และคอยกำชับให้นักเรียนเข้าเรียนตลอดทั้งวัน เราควรเลือกให้นักเรียนเรียนออนไลน์กับครูผู้สอนโดยตรงเฉพาะวิชาสำคัญ เช่น  คณิตศาสตร์  วิทยาศาสตร์  ภาษาอังกฤษ สังคม และ ภาษาไทย ส่วนวิชาอื่น ๆ เราอาจใช้การจัดทำเป็นบทเรียนสำเร็จรูปให้นักเรียนสามารถเข้าไปดูได้เมื่อนักเรียนพร้อม หรืออาจจะให้เป็นลักษณะวิจัยอิสระในแต่ละเดือนให้นักเรียนทำด้วยตัวเองในเวลาว่างก็ได้ ซึ่งการจัดสรรในลักษณะนี้จะช่วยให้เวลาที่นักเรียนจะต้องอยู่หน้าจอติดต่อกันเวลาเวลานานนั้นลดน้อยลง และช่วยให้นักเรียนกลับมาสนใจเรียนมากยิ่งขึ้น

 

การเรียนการสอนออนไลน์ควรจะเป็นการสร้างความร่วมมือมากกว่าที่จะเป็นการบังคับ

หลายครั้งที่เรามักมองการเรียนการสอนออนไลน์เหมือนการเรียนในชั้นเรียน ทำให้บทบาทของครูผู้สอนนั้นแสดงออกมาเหมือนกำลังสอนอยู่หน้าชั้น ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงแล้ว ครูผู้สอนควรจะเป็นเหมือนเพื่อนและผู้แนะนำให้กับนักเรียนและผู้ปกครอง ซึ่งการสอนออนไลน์นั้นครูผู้สอนควรมีหน้าที่ในการให้ความรู้ ให้คำแนะนำ และคอยประคับประคองนักเรียน รวมถึงช่วยเหลือผู้ปกครองในการส่งเสริมการเรียนรู้ให้กับนักเรียน ในช่วงสถานการณ์ที่ย่ำแย่นี้ ซึ่งถ้าเราตั้งธงไว้แบบนี้ เราจะวางรูปแบบการสอนออนไลน์และการประเมินผลได้อย่างเหมาะสมโดยคำนึงถึงนักเรียนและผู้ปกครองเป็นสำคัญ

 

ดังเหตุนี้ ผู้เขียนจึงมองว่าการหยุดเรียนในสถานการณ์แบบนี้เป็นผลเสียมากกว่าผลดี และเป็นการหนีปัญหาที่ไม่รู้ว่าเราจะต้องเผชิญอีกเท่าไหร่ เพราะในการประเมินสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดนั่นคือ นักเรียนอาจจะต้องเรียนออนไลน์ในลักษณะอีก 1-2 ปีเลยทีเดียว ซึ่งถ้าเป็นไปตามการคาดการณ์ มันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้นักเรียนหยุดเรียนทุกครั้งที่เกิดการระบาด

แน่นอนว่าการเรียนออนไลน์มันเทียบไม่ได้กับการเรียนในชั้นเรียน แต่มันก็ไม่ใช่ว่าไร้ประโยชน์ เพราะอย่าลืมว่าปัจจุบันการเรียนออนไลน์เริ่มเข้ามาแทนที่การเรียนการสอนในชั้นเรียน และในอนาคตอาจกลายเป็นการเรียนรู้หลักควบคู่กับการเรียนในชั้นเรียนก็เป็นได้ ดังนั้น แทนที่จะเอาจำนวนของนักเรียนที่โดดเรียนออนไลน์มาเรียกร้องให้หยุดเรียน เราควรกลับไปดูนักเรียนที่ไม่เรียนออนไลน์นั้นประสบปัญหาอะไร     สามารถช่วยเหลือพวกเขาได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งน่าจะเป็นแนวทางที่ดีกว่า

 

เรียบเรียงโดย : นรรัชต์  ฝันเชียร

เว็บไซต์ทรูปลูกปัญญาดอทคอมเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป
Tags
  • Posted By
  • Plook Teacher
  • 127 Followers
  • Follow