เรื่องนี้กลายเป็นข้อถกเถียงและแสดงความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวาง หลายคนมองว่า ข้อเสนอนี้จะเป็นผลเสียมากกว่าที่จะเป็นผลดี เพราะการหยุดพักเรียนทั้งระบบนั้น จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อระบบการศึกษาและการเปลี่ยนผ่าน ในขณะที่หลายคนก็มองว่าเป็นเรื่องที่ดี และทำให้นักเรียนผ่อนคลายมากขึ้น
ในเรื่องนี้ สำหรับผู้เขียนนั้น ไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่นัก เพราะมองว่าการเรียนออนไลน์นั้นไม่ใช่ต้นตอของปัญหา และถึงแม้ว่ามันไม่ได้ออกแบบมาให้ครอบคลุมกับการศึกษาทุกกลุ่ม แต่ก็ใช่ว่ามันจะไร้ประโยชน์ไปเสียทั้งหมด ซึ่งผู้เขียนมีมุมมองเกี่ยวกับเรื่องนี้ดังนี้
ถึงแม้ว่าการเรียนออนไลน์ มันเทียบไม่ได้กับการเรียนในชั้นเรียน เพราะการเรียนในชั้นเรียนนั้น นักเรียนจะได้ซึบซับบรรยากาศการเรียนรู้ รวมถึงมีอุปกรณ์การเรียนที่เอื้อให้นักเรียนเรียนรู้และปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งกิจกรรมการเรียนการสอนหลายอย่างก็ไม่สามารถที่จะเรียนรู้ได้หรือเรียนรู้ได้ยากระหว่างเรียนออนไลน์ แต่อย่างไรก็ดี การเรียนออนไลน์ก็ยังมีประโยชน์ในหลาย ๆ วิชา ซึ่งนักเรียนสามารถที่จะเรียนรู้และสืบค้นข้อมูลความรู้เพิ่มเติมได้ในขณะเดียวกัน ทำให้กิจกรรมการเรียนรู้ที่เป็นการวิเคราะห์วิจารณ์ พูดคุย อภิปรายหรือแสดงความคิดเห็น กลายเป็นกิจกรรมที่น่าสนใจมากขึ้นในระหว่างเรียนออนไลน์
หลายคนอาจมองว่าการหยุดพัก 1 ปีการศึกษามันเป็นเรื่องที่ง่าย แต่ในมุมมองของนักเรียน โดยเฉพาะนักเรียนที่อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านทางการศึกษาและมีแนวทางที่ชัดเจน การให้ตัวเองต้องหยุดเรียน 1 ปี นั้นอาจส่งผลกระทบต่อพวกเขาอย่างมาก เพราะอาจทำให้เขาพลาดโอกาสในการเข้าเรียนตามที่มุ่งหวังหรือทำให้ต้องเสียเวลาในการเรียนมากขึ้น
อย่าลืมว่าระบบการศึกษานั้นไม่ได้มีแค่เรื่องการเรียนของนักเรียน เพียงเท่านั้น เรายังมีหลายอย่างที่เกี่ยวเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของบุคลากรครู และงบประมาณ การให้หยุด 1 ปีและเริ่มต้นใหม่นั้น ส่งผลกระทบอย่างมากมายในการบริหารสถานศึกษา เพราะถ้าให้นักเรียนหยุดเรียน นั่นหมายความว่า สถานศึกษาหลายแห่งโดยเฉพาะสถานศึกษาเอกชน จะไม่มีค่าใช้จ่ายหรือสามารถเรียกเก็บได้เพียงเล็กน้อย ซึ่งอาจส่งผลทำให้สถานศึกษาหลายแห่งต้องปิดกิจการเนื่องจากขาดสภาพคล่องทางการเงิน หรือในทางกลับกัน ถ้าสถานศึกษายังสามารถเรียกเก็บค่าใช้จ่ายได้ มันก็เป็นภาระผู้ปกครองที่ต้องจ่ายค่าเล่าเรื่องเพื่อรักษาสภาพนักเรียนโดยที่นักเรียนไม่ได้อะไรเลย
เรื่องนี้เราต้องย้อนกลับมาดูว่า การสอนออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพน้อยลงนั้น เกิดขึ้นจากสาเหตุอะไร เรารู้อยู่แล้วว่าสาเหตุหลัก ๆ คือเรื่องของการเข้าถึงการเรียนออนไลน์ที่มีนักเรียนบางกลุ่มที่เข้าถึงได้น้อย แต่ถึงกระนั้น เราก็สามารถจัดการเรียนการสอนด้วยวิธีอื่นทดแทนได้ซึ่งสามารถใช้ได้กับบางพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดไม่มากนัก หรือก็อาจให้การช่วยเหลือด้านอุปกรณ์และสัญญาณกับนักเรียนที่ขาดแคลน เพื่อให้พวกเขาเข้าถึงการเรียนออนไลน์ได้ดีขึ้น แต่อีกเรื่องหนึ่งที่ผู้เขียนมองว่าเป็นปัญหา คือเรื่องของรูปแบบการสอนออนไลน์ที่หลายโรงเรียนดำเนินการเป็นตารางสอน เหมือนการเรียนในชั้นเรียน ซึ่งเป็นแนวทางที่ไม่ถูกต้องนัก
การเรียนที่มีมากมายหลายวิชานั้น เราไม่จำเป็นจะต้องอัดทุกอย่างลงไปในตารางเรียนออนไลน์และคอยกำชับให้นักเรียนเข้าเรียนตลอดทั้งวัน เราควรเลือกให้นักเรียนเรียนออนไลน์กับครูผู้สอนโดยตรงเฉพาะวิชาสำคัญ เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ สังคม และ ภาษาไทย ส่วนวิชาอื่น ๆ เราอาจใช้การจัดทำเป็นบทเรียนสำเร็จรูปให้นักเรียนสามารถเข้าไปดูได้เมื่อนักเรียนพร้อม หรืออาจจะให้เป็นลักษณะวิจัยอิสระในแต่ละเดือนให้นักเรียนทำด้วยตัวเองในเวลาว่างก็ได้ ซึ่งการจัดสรรในลักษณะนี้จะช่วยให้เวลาที่นักเรียนจะต้องอยู่หน้าจอติดต่อกันเวลาเวลานานนั้นลดน้อยลง และช่วยให้นักเรียนกลับมาสนใจเรียนมากยิ่งขึ้น
หลายครั้งที่เรามักมองการเรียนการสอนออนไลน์เหมือนการเรียนในชั้นเรียน ทำให้บทบาทของครูผู้สอนนั้นแสดงออกมาเหมือนกำลังสอนอยู่หน้าชั้น ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงแล้ว ครูผู้สอนควรจะเป็นเหมือนเพื่อนและผู้แนะนำให้กับนักเรียนและผู้ปกครอง ซึ่งการสอนออนไลน์นั้นครูผู้สอนควรมีหน้าที่ในการให้ความรู้ ให้คำแนะนำ และคอยประคับประคองนักเรียน รวมถึงช่วยเหลือผู้ปกครองในการส่งเสริมการเรียนรู้ให้กับนักเรียน ในช่วงสถานการณ์ที่ย่ำแย่นี้ ซึ่งถ้าเราตั้งธงไว้แบบนี้ เราจะวางรูปแบบการสอนออนไลน์และการประเมินผลได้อย่างเหมาะสมโดยคำนึงถึงนักเรียนและผู้ปกครองเป็นสำคัญ
ดังเหตุนี้ ผู้เขียนจึงมองว่าการหยุดเรียนในสถานการณ์แบบนี้เป็นผลเสียมากกว่าผลดี และเป็นการหนีปัญหาที่ไม่รู้ว่าเราจะต้องเผชิญอีกเท่าไหร่ เพราะในการประเมินสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดนั่นคือ นักเรียนอาจจะต้องเรียนออนไลน์ในลักษณะอีก 1-2 ปีเลยทีเดียว ซึ่งถ้าเป็นไปตามการคาดการณ์ มันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้นักเรียนหยุดเรียนทุกครั้งที่เกิดการระบาด
แน่นอนว่าการเรียนออนไลน์มันเทียบไม่ได้กับการเรียนในชั้นเรียน แต่มันก็ไม่ใช่ว่าไร้ประโยชน์ เพราะอย่าลืมว่าปัจจุบันการเรียนออนไลน์เริ่มเข้ามาแทนที่การเรียนการสอนในชั้นเรียน และในอนาคตอาจกลายเป็นการเรียนรู้หลักควบคู่กับการเรียนในชั้นเรียนก็เป็นได้ ดังนั้น แทนที่จะเอาจำนวนของนักเรียนที่โดดเรียนออนไลน์มาเรียกร้องให้หยุดเรียน เราควรกลับไปดูนักเรียนที่ไม่เรียนออนไลน์นั้นประสบปัญหาอะไร สามารถช่วยเหลือพวกเขาได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งน่าจะเป็นแนวทางที่ดีกว่า
เรียบเรียงโดย : นรรัชต์ ฝันเชียร