Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา

การดูแลสายตา เมื่อต้องเรียนออนไลน์เป็นเวลานาน

Posted By Plook Teacher | 30 ก.ค. 64
4,417 Views

  Favorite

อย่างที่ทราบกันดีว่า ช่วงนี้นักเรียนส่วนใหญ่ต้องเรียนออนไลน์ เนื่องจากปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ที่นับวันจะมีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งจากการประเมินสถานการณ์ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) พบว่า ถ้าสถานการณ์ยังคงไม่สู้ดีอยู่แบบนี้ นักเรียน โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงสูง อาจจำเป็นต้องเรียนออนไลน์ไปตลอดทั้งเทอมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

เมื่อนักเรียนต้องเรียนออนไลน์ในระยะยาว สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ควรนึกถึง คือเรื่องของสุขภาพ โดยเฉพาะเรื่องของดวงตา ซึ่งเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญมากต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน ซึ่งการที่นักเรียนต้องเรียนออนไลน์เป็นเวลานานในแต่ละวันนั้น ทำให้นักเรียนต้องใช้สายตาอย่างมากกับการเรียนรู้ผ่านหน้าจอของอุปกรณ์สื่อสารออนไลน์ต่าง ๆ  ซึ่งการใช้เครื่องมือเหล่านี้อย่างต่อเนื่องหลายชั่วโมงนั้น ส่งผลเสียอย่างแน่นอนกับดวงตา และอาจทำให้สายตาเสื่อมก่อนวัยอันควร

 

ในบทความนี้ผู้เขียนจึงรวบรวมวิธีการในการดูแลรักษาดวงตา ในกรณีที่ต้องอยู่กับอุปกรณ์สื่อสารออนไลน์เป็นเวลานาน มาให้กับทั้งนักเรียนและครูผู้สอน เพื่อให้สามารถดูแลรักษาดวงตาของตัวเอง  ให้สามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพไปอีกนาน ๆ 

พักสายตาทุก ๆ 30 นาที

การพักสายตา คือ การละสายตาออกจากหน้าจอ ซึ่งอาจไปการบริหารสายตา กระพริบตาถี่ ๆ และกรอกสายตาไปละสายตาไปทำกิจกรรมอื่น หรือมองจุดที่ผ่อนคลายทางสายตา เช่นพื้นที่สีเขียว เพื่อให้เวลาสายตาในการฟื้นฟูกลับมาอีกครั้ง ซึ่งหลังจากเรียนออนไลน์ในแต่ละคาบเสร็จแล้ว ควรมีเวลาให้นักเรียนได้พักสายตาอย่างน้อย 30 นาที เพื่อให้สายตาของนักเรียน และรวมถึงครูผู้สอน หายอ่อนล้าและกลับมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ปรับขนาดตัวอักษรให้ใหญ่ขึ้น

การปรับขนาดของตัวอักษรที่แสดงผลให้ใหญ่ขึ้นจะช่วยให้นักเรียน และครูผู้สอน มองเห็นตัวอักษรได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยไม่จำเป็นต้อง มองใกล้ ๆ หรือเพ่งใช้สายตามากนัก ทำให้สายตาไม่ต้องทำงานหนักจนเกินไป

 

ปรับความสว่างของหน้าจอให้เหมาะสม

ความสว่างของหน้าจอนั้น เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อสายตาเป็นอย่างมาก นักเรียนควรปรับแสงสว่างของอุปกรณ์ให้พอดีกับแสงสว่างในบริเวณที่ใช้งาน โดยใช้แสงสว่างมากในพื้นที่ที่เป็นกลางแจ้ง และใช้แสงสว่างน้อยลงในพื้นที่ที่ทึบและแสงสว่างน้อย 

อย่างไรก็ดี พื้นที่ในการใช้งานอุปกรณ์เหล่านี้คือสิ่งสำคัญ นักเรียนไม่ควรใช้อุปกรณ์ในพื้นที่ที่มีแสงจ้ามาก ๆ เพราะนอกจากความสว่างของอุปกรณ์บางรุ่นจะสู้แสงจ้าไม่ได้แล้ว แสงที่จ้าเกินไปยังทำร้ายสายตาอย่างรุนแรง ส่วนในการใช้อุปกรณ์ในห้องที่มืดหรือแสงสว่างน้อย ควรเพิ่มแสงสว่างด้วยโคมไฟควบคู่กับการปรับลดแสงสว่างของหน้าจอ หรือไม่ก็ควรย้ายที่ใช้งานมาในจุดที่มีแสงสว่างเพียงพอจะดีกว่า

 

ใช้ฟังก์ชันลดแสงสีฟ้าหรือใช้แว่นตากรองแสงสีฟ้า

แสงสีฟ้า (Blue Light) คือแสงที่มีความยาวคลื่นสั้นอยู่ที่ 380-500 นาโนเมตร จึงทำให้มีการกระจายตัวของแสงสีมาก มีงานวิจัยหลายแห่งยืนยันว่า แสงสีฟ้าที่ออกมาจากจอแสดงผลของอุปกรณ์สื่อสารต่าง ๆ นั้น ส่งผลกระทบโดยตรงกับดวงตา ทำให้เมื่อยล้า ปวดตา แสบตา เคืองตา น้ำตาไหล ตาพร่ามัว จนไปถึงจอประสาทตาเสื่อมได้ ดังนั้นการปรับลดแสงสีฟ้าด้วยฟังก์ชันที่มีในอุปกรณ์เหล่านั้น หรือใส่แว่นตาเพื่อกรองแสงสีฟ้า จะช่วยให้นักเรียน รวมถึงครูผู้สอนใช้งานอุปกรณ์เหล่านี้ได้ยาวนานและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

 

เว้นระยะห่างจากหน้าจอ

เหมือนกับโทรทัศน์และคอมพิวเตอร์ การใช้งานอุปกรณ์สื่อสารออนไลน์ต่าง ๆ  ทั้งพวกสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตควรอยู่ห่างจากหน้าจอในระยะ 30-40 เซนติเมตร เพื่อไม่ให้แสงที่เป็นอันตราย เช่น แสงสีฟ้า ทำอันตรายต่อดวงตาของและทำให้ดวงตาเสื่อมก่อนวัยอันควร

 

งดการใช้อุปกรณ์ในระหว่างการเดินทาง

เวลาเดินทาง โดยเฉพาะการนั่งบนยานพาหนะที่กำลังเคลื่อนที่ จะมีแรงสั่นสะเทือนที่แม้จะไม่เป็นอันตราย แต่ก็ส่งผลเสียต่อสุขภาพสายตาได้ถ้าจ้องมองหน้าจอของอุปกรณ์สื่อสารออนไลน์ต่าง ๆ ขณะอยู่บนยานพาหนะ นอกจากนี้การใช้เครื่องมือสื่อสารเหล่านี้ในขณะที่ขับขี่ หรือขณะเดินทางบนท้องถนน ก็เป็นพฤติกรรมที่อันตรายและอาจทำให้เกิดอุบัติที่ร้ายแรงได้

 

ดื่มน้ำ

การดื่มน้ำช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย และรวมถึงเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับดวงตาด้วย ช่วยลดอาการตาแห้ง และระคายเคืองตา ทำให้ช่วยใช้งานดวงตาได้ยาวนานขึ้น ซึ่งเราควรที่จะดื่มน้ำ ให้ได้วันละ 8 แก้ว เพื่อเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ

 

รับประทานอาหารช่วยบำรุงสายตา

อาหารที่อุดมไปด้วย วิตามิน A โดยเฉพาะพวกเบต้าแคโรทีน (Betacarotene) ที่เป็นสารตั้งต้นของวิตามิน A ซึ่งมีบทบาทในการต้านอนุมูลอิสระ และช่วยในการมองเห็นในกลางคืนเช่นเดียวกับวิตามิน A พบมากในผักผลไม้ที่มีสีเหลืองส้ม เช่น แครอท มะละกอ ข้าวโพดอ่อน หน่อไม้ฝรั่ง ผักบุ้ง คือสิ่งสำคัญที่ช่วยบำรุงสายตา นอกจากนี้ยังมี พวกวิตามิน C จากผลไม้รสเปรี้ยว และวิตามิน B จากพวกเนื้อสัตว์ นม ไข่ รวมถึงโอเมก้า 3 ที่มีในปลาทะเลน้ำลึก ก็นับเป็นอาหารที่ช่วยบำรุงสายตาได้อย่างดีเช่นเดียวกัน นักเรียนและครูผู้สอนจึงควรรับประทานอาหารที่ประกอบขึ้นจากวัตถุดิบเหล่านี้เป็นประจำ โดยสลับสับเปลี่ยนกันไป เพื่อบำรุงสายตาให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอยู่เสมอ

 

อย่าลืมว่า ดวงตาคืออวัยวะที่สำคัญมากต่อการดำเนินชีวิต ถ้าขาดดวงตาที่มีประสิทธิภาพแล้ว เราก็จะมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ไม่ชัดเจน จนรบกวนชีวิตประจำวัน ทำให้ต้องเสียเงินไปกับการฟื้นฟูหรือหาอุปกรณ์ช่วยเหลือเช่น แว่นตา หรือ คอนเทนท์เลนส์ และบางครั้งการเสื่องสภาพของดวงตาก็อาจไม่สามารถฟื้นฟูให้กลับมาใช้งานเป็นปกติได้ เช่น การเกิดวุ้นในตาเสื่อม ที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ 

 

ดังนั้น มันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องดูแลให้ดี โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่ทั้งนักเรียนและครูผู้สอนต้องออนไลน์แทบจะตลอดเวลา 

 

เรียบเรียงโดย : นรรัชต์  ฝันเชียร

เว็บไซต์ทรูปลูกปัญญาดอทคอมเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป
Tags
  • Posted By
  • Plook Teacher
  • 127 Followers
  • Follow