Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา

มาตรการเมื่อพบว่าเด็กเล็กติดโควิด 19

Posted By Plook Teacher | 31 พ.ค. 64
3,622 Views

  Favorite

ตามรายงานของอธิบดีกรมอนามัย พบว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 มีเด็กปฐมวัยในติดเชื้อสูงถึง 1,557 ราย โดยคิดเป็นร้อยละ 1.8 ของจำนวนเด็กปฐมวัยในประเทศทั้งหมด ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่ากังวลใจอย่างมาก  เพราะเด็กปฐมวัยนั้นนับเป็นกลุ่มเปราะบางที่เสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อได้ง่าย จากผู้ปกครองและบุคคลใกล้ชิด  และถึงแม้ว่าอาการป่วยของเด็กส่วนใหญ่จะไม่รุนแรงมากนัก เมื่อเทียบกับผู้ใหญ่ แต่พวกเขาก็สามารถเป็นพาหะในการแพร่เชื้อให้กับบุคคลอื่นได้เช่นเดียวกับวัยอื่น ๆ

งานวิจัยที่เชื่อถือได้ ระบุอย่างชัดเจนถึงความรุนแรงของโควิด 19 ที่ส่งผลกระทบน้อยมากกับเด็กเล็ก โดยทีมนักวิจัยที่ Johns Hopkins ได้ศึกษาผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยันในประเทศจีน มากกว่า 72,000 ราย พบว่าเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปีนั้น มีสัดส่วนน้อยกว่าร้อยละ 1 ของการติดเชื้อทั้งหมด และจากจำนวนผู้เสียชีวิต 1,023 ราย ไม่มีเด็กแม้แต่คนเดียวที่อยู่ในกลุ่มนี้

 

เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นนักวิจัยหลายคนมองว่า เป็นผลมาจากโปรตีนที่ส่งต่อระบบภูมิคุ้มกันที่เป็นอันตรายประเภทหนึ่ง ที่เรียกว่า ไซโตไคน์ (Cytokine) ที่เป็นโปรตีนที่ทำงานในช่วงที่เด็กกำลังเติบโต ซึ่งช่วยให้เด็กได้รับความเสียหายจากไวรัสต่าง ๆ ที่เข้ามาในช่วงเวลานี้ค่อนข้างต่ำ

แต่อย่างไรก็ดี แม้ว่าเด็กปฐมวัยอาจได้รับความรุนแรงของโรคค่อนข้างน้อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะแพร่เชื้อไม่ได้ มันจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคน โดยเฉพาะครอบครัวที่มีเด็กเล็กในบ้านจะต้องระมัดระวังและป้องกันให้พวกเขาห่างไกลโรค ทั้งนี้เพราะปัจจุบันวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 สำหรับเด็กเล็กนั้น ยังอยู่ในช่วงของการพัฒนา ซึ่งยังคงต้องใช้เวลาอีกพอสมควร ถึงจะสามารถนำออกมาใช้งานกับเด็กโดยทั่วไปได้ และรวมถึงการจัดหาวัคซีน ที่อาจจะต้องใช้เวลามากขึ้นไปอีก พวกเขาจึงยังไม่มีโอกาสได้รับวัคซีนในช่วงเวลานี้ และแน่นอนว่าพวกเขาจึงมีโอกาสที่จะติดเชื้อได้สูง และยิ่งปัจจุบัน เชื้อโควิด 19 มีการกลายพันธุ์มากขึ้น ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อเด็กเล็กได้ ถ้าเกิดว่าการกลายพันธุ์นั้นส่งผลให้ไวรัสสามารถทำอันตรายต่อเด็กได้มากขึ้น

ด้วยเหตุนี้ เด็กเล็กจึงนับเป็นกลุ่มเปราะบางที่ส่งผลกระทบต่อผู้ใกล้ชิดได้ง่าย ซึ่งถ้าเกิดว่าพวกเขาติดเชื้อ โอกาสที่คนรอบข้างจะติดไปด้วยนั้น ก็มีความเป็นไปได้สูง เพราะการดูแลตัวเองของเด็กนั้น แน่นอนว่าน้อยกว่าผู้ใหญ่หลายเท่า และยิ่งถ้าบุคคลใกล้ชิดพวกเขายังไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ก็มีโอกาสที่จะติดเชื้อจากเด็ก ๆ แล้วเกิดอาการป่วยหนักรุนแรงได้ โดยเฉพาะกับเด็กที่ติดเชื้อ แต่ไม่แสดงอาการ ซึ่งมีค่อนข้างมาก ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อพบว่าเด็กเล็กป่วยเป็นโรคโควิด 19 ก็จะต้องเข้ากระบวนการการรักษาเฉกเช่นเดียวกับผู้ใหญ่ เพื่อให้พวกเขาปลอดภัยจากความรุนแรงของโรคและลดโอกาสที่จะแพร่เชื้อ เพียงแต่ว่าสำหรับเด็กนั้น อาจต้องมีวิธีการที่เหมาะสมมากกว่า

 

มติจากการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนงานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ ได้เล็งเห็นปัญหาในส่วนนี้ จึงได้มีการกำหนดแนวทางการปฏิบัติการดูแลเด็กและครอบครัวที่ติดเชื้อโควิด 19 ที่ไม่แสดงอาการด้วย 4 แนวทาง ได้แก่

        1. ถ้าทั้งเด็กและผู้ปกครอง ติดเชื้อโควิด 19 ทั้งคู่ ให้ทั้งสองเข้ารับการรักษา โดยเน้นจัดเป็นกลุ่มครอบครัว
        2. ถ้าเด็กติดเชื้อ แต่ผู้ปกครองไม่ได้ติดเชื้อ โควิด 19 ให้ส่งตัวเด็กเข้ารับการรักษา โดยสามารถให้ผู้ปกครองที่มีอายุต่ำกว่า 60 ปี และไม่มีโรคประจำตัว สามารถเข้าไปดูและเด็กในสถานพยาบาลนั้น ๆ ได้
        3. ถ้าเด็กไม่ได้ติดเชื้อ แต่ผู้ปกครองติดเชื้อ โควิด 19 ให้เครือญาติหรือคนใหล้ชิดในครอบครัวที่ไม่ได้ติดเชื้อเป็นผู้ดูแล แต่ถ้าหากไม่มีญาติพี่น้อง ให้ส่งตัวเด็กไปยังสถานสงเคราะห์หรือบ้านพักในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นผู้ดูแลชั่วคราว หรืออาจพิจารณาใช้พื้นที่สถานพัฒนาเด็กปฐมวัยในชุมชนเป็นที่ดูแลเด็กได้ โดยพิจารณาจากความพร้อมของสถานที่ บุคลากร และการบริการจัดการตามดุลพินิจคณะกรรมการป้องกันโรคจังหวัดหรือกรุงเทพมหานคร
        4. ถ้าเกิดการะบาดเป็นกลุ่ม เช่น ระบาดในศูนย์เด็กเล็ก หรือสถานศึกษา ให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันโรคจังหวัดหรือกรุงเทพมหานคร ในการพิจารณาแนวทางในการดำเนินการอย่างเหมาะสมตามบริบทของพื้นที่นั้น ๆ เพื่อดูแลเด็กอย่างเหมาะสมต่อไป
 
​นอกจากนี้ ทางที่ประชุมยังได้ ออกมาตรการเตรียมความพร้อมในการเปิดสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย โดยสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยจะต้องประเมินตนเองผ่าน Thai stop COVID Plus เพื่อใช้ในการเฝ้าระวังป้องกันและควบคุมโรค พร้อมทั้งให้หน่วยงานต้นสังกัดประเมินรับรองเสียก่อนจึงจะสามารถเปิดดำเนินการได้ นอกจากนี้ยังสนับสนุนให้ครูและบุคลากรในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยจะต้องฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ทุกคน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกันความรุนแรงของโรคและลดการแพร่ระบาด รวมถึงให้สถานพัฒนาเด็กปฐมวัยมีมาตรการในการห้องกันโรคและคัดกรองเด็ก รวมถึงบุคคลอื่น ๆ ที่จะเข้ามาในสถานที่อีกด้วย
 
​ตอนนี้เรายังไม่แน่ใจว่าสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย หรือแม้แต่สถานศึกษาจะพร้อมเปิดทำการได้ตามกำหนดหรือไม่ เพราะอย่างไรเสีย ยอดผู้ติดเชื้อที่ปรากฎทุกวันก็ยังเป็นตัวแปรสำคัญในการพิจารณาในส่วนนี้ ถึงแม้ว่าครูผู้สอน บุคลากรทางการศึกษา และอาจจะรวมถึงผู้ปกครองบางส่วนจะได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 แล้ว แต่อัตราการฉีดวัคซีนทั่วประเทศที่ยังน้อยอยู่นั้น ก็ยังไม่เพียงพอที่จะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เกิดขึ้นเป็นวงกว้างได้ หลายคนจึงยังกังวลว่า เมื่อเปิดภาคเรียนแล้ว เด็กเล็กและนักเรียนจะกลายเป็นคลัสเตอร์ใหม่ของการระบาดและทำให้เกิดการระบาดใหญ่อีกระลอก
 
ดังนั้นจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น การดูแลเด็ก โดยเฉพาะกับเด็กเล็กให้ห่างไกลจากโรคโควิด 19 นั้นจึงเรื่องสำคัญควบคู่กับการจัดการศึกษาให้พวกเขาอย่างเหมาะสมกับข้อจำกัดต่าง ๆ ด้วย วิธีการออนไลน์  หรือ ใช้ประโยชน์จากการขนส่งหรือติดต่อทางไกล
 
งดพาพวกเขาไปไหนในช่วงเวลานี้ เพื่อลดโอกาสที่จะสัมผัสเชื้อ กำชับให้ใส่หน้ากากอนามัยให้เป็นนิสัย แม้จะออกไปไหนแค่เพียงเล็กน้อย ล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาด หรือใช้เจลแอลกอฮอล์เป็นประจำ และเมื่อพบว่าพวกเขามีอาการไข้ ไอ หรือตัวร้อน อย่ารีรอที่จะพาเขาไปสถานพยาบาลใกล้บ้าน เพื่อตรวจหาเชื้อและเข้ารับการรักษา เพราะไม่แน่ว่าอาการป่วยของพวกเขานั้น อาจเป็นผลจากโรคโควิด 19 โดยที่พวกเราไม่รู้ตัวก็เป็นได้
 
เรียบเรียงโดย : นรรัชต์  ฝันเชียร
 
เว็บไซต์ทรูปลูกปัญญาดอทคอมเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป
Tags
  • Posted By
  • Plook Teacher
  • 127 Followers
  • Follow