Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา

RSV คืออะไร ทำไมถึงอันตราย

Posted By Plook Teacher | 03 พ.ย. 63
4,290 Views

  Favorite

ทุกวันนี้เรื่องของโรคภัยไข้เจ็บนั้น กลายเป็นเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งของการดำเนินชีวิตที่ทุกคนต้องใส่ใจ เพราะจากเหตุการณ์การแพร่ระบาดของโรค Covid-19 ที่ยังคงมีการระบาดอย่างต่อเนื่องทั่วโลก น่าจะเป็นลางบอกเหตุได้อย่างดี ถึงความรุนแรงของโรคต่าง ๆ ในอนาคต ที่เริ่มมีการกลายสภาพให้ทนทานต่อการรักษาและก่อให้เกิดผลกระทบกับผู้ป่วยอย่างรุนแรงมากยิ่งขึ้น

ส่วนหนึ่งที่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคใหม่ ๆ หรือโรคที่มีความรุนแรงมากขึ้นนั้น คือเรื่องของสภาพภูมิอากาศโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่แย่ลง ปัญหาโลกร้อน ปัญหาฝุ่นละออง ทำให้ธรรมชาติจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอดกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป จนทำให้สัตว์หรือพืชพรรณที่สามารถใช้เป็นอาหารของมนุษย์นั้น เกิดการกลายพันธุ์และเป็นพิษกับมนุษย์มากขึ้น รวมไปถึง เรื่องของการใช้สารเคมีและเคมีภัณฑ์ต่าง ๆ ในการประกอบและบรรจุอาหาร ทำให้อาหารเกิดการปนเปื้อนและส่งผลกระทบกับมนุษย์เมื่อรับประทานเข้าไปอีกด้วย

 

นอกจากนี้ด้วยสภาพภูมิอากาศที่แย่ลงทำให้มนุษย์เรามีภูมิคุ้มกันที่น้อยลงตามไปด้วย ทำให้มนุษย์เรามีโอกาสที่จะเจ็บป่วยจากโรคต่าง ๆ ได้ง่ายและรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะกับมนุษย์ในช่วงวัยที่ภูมิคุ้มกันมีความอ่อนแอ เช่น ในวัยเด็กและวัยผู้สูงอายุ เป็นต้น สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ในการระบาดของโรค Covid-19 ที่จำนวนผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่นั้นเป็นกลุ่มผู้สูงอายุที่มีภูมิคุ้มกันไม่ดีนัก ทำให้ร่างกายต่อสู้กับโรคนี้ได้ยากและส่งผลให้เกิดอัตราการเสียชีวิตที่สูงเป็นประวัติการณ์

 

สำหรับเด็กนั้น เป็นอีกวัยหนึ่งที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคระบาด เพราะด้วยระบบภูมิคุ้มกันที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ ทำให้มีโอกาสติดเชื้อต่าง ๆ ได้ง่ายถ้าไม่ระมัดระวังหรือได้รับการดูแลด้านสุขอนามัยที่ดีไม่มากพอ ซึ่งนอกจาก โรคมือเท้าปาก ไข้เลือดออก หรือ อีสุกอีใส ที่นับว่าเป็นโรคยอดฮิตของเด็กในยุคนี้แล้ว  RSV ก็ถือเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคที่สามารถทำอันตรายให้เด็กจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

 

ภาพ : shutterstock.com

 

RSV (Respiratory Syncytial Virus) คือเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อทางเดินหายใจทั้งส่วนบนและส่วนล่าง ซึ่งสามารถเกิดการติดเชื้อได้ทั้งในเด็กและในผู้ใหญ่ แต่ส่วนมากแล้วมักจะเกิดในเด็กเล็ก ๆ ที่อายุต่ำกว่า 3 ปี ซึ่งเชื้อไวรัสชนิดนี้จะส่งผลให้ผู้ป่วยคล้ายเป็นไข้หวัด แต่จะทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยโรคนี้จะมีระยะฟักตัวอยู่ที่ประมาณ 5 วัน ซึ่งในช่วง 2 – 4 วันแรกนั้น จะมีอาการคล้ายไข้หวัดธรรมดา เช่น ไข้ ไอ จาม น้ำมูกไหล และเมื่อการดำเนินโรคมีมากขึ้นส่งผลให้ทางเดินหายใจส่วนล่างมีการอักเสบตามมา ทำให้เกิดโรคหลอดลมอักเสบ กล่องเสียงอักเสบ และโรคปอดบวมหรือปอดอักเสบ ในบางรายเกิดอาการรุนแรง เช่น ไข้สูง ไอแรง หอบเหนื่อย หายใจมีเสียงครืดคราด มีเสมหะในลำคอมาก ซึ่งหากมีอาการไข้สูงมากกว่า 39 องศาเซลเซียส ไอจนอาเจียน หายใจหอบเร็วจนชายโครงบุ๋ม หายใจออกลำบากหรือหายใจมีเสียงวี้ด (Wheezing) รับประทานอาหารได้น้อยลง ซึมลง ปากซีดเขียวนั้น เป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยที่มีอาการหนัก และมีโอกาสที่จะเสียชีวิตเนื่องจากระบบทางเดินหายใจล้มเหลวได้สูง

 

สำหรับในประเทศไทย ไวรัส RSV นั้น มักพบการระบาดได้บ่อยในช่วงฤดูฝนหรือช่วงปลายฝนต้นหนาว ซึ่งกลุ่มเด็กที่อายุต่ำกว่า 3 ปี ที่มีระบบทางเดินหายใจส่วนบนที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่คือเป้าหมายหลักของเชื้อไวรัสชนิดนี้ รองลงมากคือกลุ่มของบุคคลที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้สูงอายุ หรือ แม้แต่บุคคลทั่วไปก็มีโอกาสรับเชื้อนี้ได้ แต่อาจจะไม่มีอาการรุนแรงมากนักเมื่อเทียบกับเด็กเล็ก

ภาพ : shutterstock.com

การติดต่อของไวรัส RSV นั้น มีรูปแบบที่ใกล้เคียงกับการระบาดของไวรัสโคโรน่าที่เป็นต้นเหตุของโรค Covid-19 นั่นคือ สามารถติดต่อกันได้ผ่านสารคัดหลั่งต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น น้ำมูก น้ำลาย หรือ ละอองที่เกิดจากการไอ จาม รวมถึงการสัมผัสที่ปนเปื้อนสารคัดหลั่งต่าง ๆ ซึ่งเมื่อความอันตรายของโรคนี้พุ่งเป้าไปที่เด็กเล็ก ทำให้การป้องกันโรคนั้นเป็นไปได้ยาก เพราะด้วยสังคมปัจจุบัน  ครอบครัวที่มีเด็กเล็กนั้นจำเป็นต้องฝากพวกเขาไว้กับสถานรับเลี้ยงเด็กหรือเนอสเซอรี่ ทำให้มีโอกาสที่เด็กเล็กจะติดเชื้อไวรัส RSV จากสถานรับเลี้ยงเด็กได้ง่าย

 

นอกจากนี้แม้แต่ในโรงเรียนระดับชั้นอนุบาล ชั้นประถมศึกษา และชั้นมัธยมศึกษา เชื้อไวรัส RSV ก็อาจจะแฝงตัวอยู่ในอาการป่วยของนักเรียนบางคน และสามารถแพร่ระบาดในโรงเรียน ซึ่งแม้ว่าสำหรับนักเรียนในวัยนี้จะไม่ได้รับผลกระทบจากโรคนี้มากนัก แต่ก็สามารถเป็นพาหะที่พาโรคนี้ไปติดคนในครอบครัวได้

 

สาเหตุอีกอย่างนี้ ที่อาจทำให้เด็กเล็กมีโอกาสติดเชื้อไวรัสชนิดนี้มากขึ้น คือ การที่ผู้ใหญ่ชอบไปอุ้ม กอด หรือหอม เด็กเล็ก โดยที่ไม่ได้ล้างมือ หรือทำให้ตัวเองสะอาด ซึ่งเชื้อไวรัส RSV นั้น สามารถติดต่อจากผู้ใหญ่ไปสู่เด็กเล็กด้วยวิธีนี้ได้ จึงเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก

 

โรคติดเชื้อจากไวรัส RSV นั้น ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนหรือยาที่รักษาโรคได้โดยตรง ยังจำเป็นต้องรักษาตามอาการ เช่น การให้ยาลดไข้ในกรณีที่มีไข้  ให้ยาละลายเสมหะหรือพ่นยาขยายหลอดลมเมื่อมีเสมหะติดค้างในหลอดลมจำนวนมาก เป็นต้น

 

สำหรับโรคนี้ การรักษาความสะอาดถือเป็นสิ่งสำคัญมาก และเป็นภูมิคุ้มกันชั้นดีที่ช่วยให้ห่างไกลจากการติดเชื้อได้ การดูแลความสะอาดของสถานที่ที่เด็กหรือนักเรียนใช้เป็นประจำ เช่น ห้องเรียน โรงอาหาร หรือ พื้นที่สาธารณะในโรงเรียน เช่น สวนหย่อม ห้องสมุด จะช่วยให้การระบาดของเชื้อโรคมีแนวโน้มจะลดน้อยลงได้

 

การสวมใส่หน้ากากอนามัย เวลาที่ต้องพูดคุยสื่อสารกับใคร และการล้างมือเป็นประจำ ยังคงเป็นมาตรการป้องกันที่ยังคงใช้ได้ และควรเป็นมาตรการหลักที่ใช้ในการดำเนินชีวิตนับจากนี้ เพื่อให้ห่างไกลจากโรคติดเชื้อไวรัส RSV และรวมถึงโรคติดเชื้ออื่น ๆ

 

นอกจากนี้การรับประทานอาหารครบ 5 หมู่ และถูกหลักตามโภชนาการ รวมถึงการพักผ่อนที่เพียงพอ และการออกกำลังกายเป็นประจำ คือ ส่วนสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มในร่างกายให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้ร่างกายของเรานั้นมีโอกาสที่จะป่วยจากโรคต่าง ๆ ได้น้อยลง

 

การร่วมมือที่สำคัญในการป้องกันโรคนี้ คือ การที่พ่อแม่ผู้ปกครองให้ความสำคัญกับอาการป่วยของบุตรหลาน พาเด็กไปรับวัคซีนที่จำเป็นให้ครบตามระยะและช่วงอายุ ซึ่งจะช่วยป้องกันโรคที่อาจจะเกิดขึ้นกับเด็กได้หลายชนิด และเมื่อพบว่าเด็กมีอาการป่วย ควรพาเด็กไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด ตรวจวินิจฉัยและรักษาให้ทันท่วงที จากนั้นควรให้เด็กหยุดไปโรงเรียนหรือศูนย์เด็กเล็กจนกว่าจะหายขาด และควรแจ้งอาการป่วยของเด็กให้โรงเรียนหรือสถานรับเลี้ยงเด็กทราบเป็นระยะ เพราะบางครั้ง การที่เด็กป่วยเป็นโรคบางอย่าง อาจจำเป็นต้องปิดสถานศึกษาเพื่อฆ่าเชื้อและทำความสะอาดเพื่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดมากขึ้น

 

ต้องบอกเลยว่า ไวรัส RSV นั้น ไม่ใช่ไวรัสเพียงชนิดเดียวที่กำลังระบาดในเด็ก เพราะหลายปีมานี้ มีโรคมากมายที่ระบาดในเด็ก ไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อ Enterovirus ที่เป็นต้นเหตุของโรคมือเท้าปาก ซึ่งในปีนี้มีอัตราการระบาดเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า หรือแม้แต่โรคไข้หวัดใหญ่ที่ยังคงเป็นโรคที่เด็กเล็กมักติดมาจากศูนย์เด็กเล็ก จึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องระมัดระวังการเจ็บป่วยของเด็ก ทั้งเด็กเล็กและเด็กโตในทุกเวลา เพื่อไม่ให้โรคระบาดนั้นทำอันตรายกลับพวกเขา และอาจกลายสภาพจนกลายเป็นโรคที่มีความรุนแรงมากขึ้นได้

 

เรียบเรียงโดย : นรรัชต์  ฝันเชียร

 

เอกสารอ้างอิง

https://www.bangkokhospital.com/content/respiratory-syncytial-virus

https://ch3thailandnews.bectero.com/news/216118

 

เว็บไซต์ทรูปลูกปัญญาดอทคอมเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป
Tags
  • Posted By
  • Plook Teacher
  • 127 Followers
  • Follow