21 Views
สุขภาพจิตมีผลโดยตรงต่อความคิดและอารมณ์ การทำงานและการเรียน ความสัมพันธ์กับคนรอบตัว และคุณภาพชีวิตโดยรวม หากปล่อยให้ปัญหาสุขภาพจิตสะสมโดยไม่ได้รับการดูแล อาจนำไปสู่ภาวะเครียดเรื้อรัง วิตกกังวล ซึมเศร้า หรือหมดไฟในการใช้ชีวิต
หลายคนยังมีความเชื่อผิด ๆ เช่น ต้องเป็นโรคหนักเท่านั้นถึงควรพบจิตแพทย์ การพบผู้เชี่ยวชาญแปลว่าตัวเองอ่อนแอ กลัวถูกมองว่า “ไม่ปกติ” ในความเป็นจริง การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต คือการดูแลตัวเองเชิงป้องกัน เหมือนการไปพบแพทย์เมื่อร่างกายเริ่มมีอาการผิดปกติเท่านั้นเอง
หากคุณรู้สึกเศร้า ว่างเปล่า หดหู่ หรือสิ้นหวังติดต่อกันนานเกิน 2 สัปดาห์ โดยไม่ดีขึ้น อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพจิตที่ควรได้รับการประเมิน
ถ้ารู้สึกเครียด คิดมากจนทำงานไม่ได้ วิตกกังวลตลอดเวลา มีอาการใจสั่น แน่นหน้าอก หายใจไม่อิ่ม อาการเหล่านี้อาจเกี่ยวข้องกับโรควิตกกังวล หรือภาวะแพนิค ซึ่งควรได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
ปัญหาสุขภาพจิตมักแสดงออกผ่านร่างกาย เช่น นอนไม่หลับหรือนอนมากเกินไป เบื่ออาหารหรือกินมากผิดปกติ เหนื่อยล้า ไม่มีแรง หากอาการเหล่านี้เกิดขึ้นต่อเนื่อง ควรพบจิตแพทย์เพื่อประเมินสาเหตุ
ถ้ารู้สึกหงุดหงิดง่าย โกรธรุนแรง ร้องไห้บ่อยโดยไม่ทราบสาเหตุ อารมณ์แปรปรวนมากแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับตัวเองมาก่อน อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณว่าจิตใจกำลังรับภาระมากเกินไป
หากปัญหาทางอารมณ์ทำให้ ทำงานหรือเรียนไม่มีประสิทธิภาพ อยาหหลีกเลี่ยงผู้คน ความสัมพันธ์รอบตัวแย่ลง นี่คือสัญญาณชัดเจนว่า เราควรขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ
หากมีความคิดทำอยากร้ายตัวเอง หรือรู้สึกว่าไม่อยากอยู่ต่อ ควรขอความช่วยเหลือทันที จากจิตแพทย์ นักจิตวิทยา หรือสายด่วนสุขภาพจิต การขอความช่วยเหลือในจุดนี้คือการปกป้องชีวิต ไม่ใช่ความอ่อนแอ
เมื่อพูดถึงการดูแลสุขภาพจิต หลายคนยังสับสนว่าจิตแพทย์ และนักจิตวิทยา ทำหน้าที่เหมือนหรือต่างกันอย่างไร และควรเลือกพบใครให้เหมาะกับปัญหาของตัวเอง ความเข้าใจที่ถูกต้องจะช่วยให้คุณเข้าถึงการดูแลที่เหมาะสมได้เร็วขึ้น
- จิตแพทย์
คือแพทย์ที่จบการศึกษาแพทยศาสตร์ และเรียนต่อเฉพาะทางด้านจิตเวชศาสตร์ จึงมีความรู้ทั้งด้านร่างกาย สมอง และจิตใจ
หน้าที่หลักของจิตแพทย์
- วินิจฉัยโรคทางจิตเวช เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล ไบโพลาร์
- ประเมินอาการทางอารมณ์และพฤติกรรมในเชิงการแพทย์
- สั่งยา ปรับยา และติดตามผลการรักษา
- ดูแลผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงหรือซับซ้อน
สำหรับผู้ที่มีอาการดังนี้ ควรพบจิตแพทย์
- ผู้ที่มีอาการรุนแรงหรือเป็นมานาน
- ผู้ที่มีอาการทางกายร่วม เช่น นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร น้ำหนักเปลี่ยน
- ผู้ที่มีความคิดทำร้ายตัวเอง
- ผู้ที่อาจจำเป็นต้องใช้ยาในการรักษา
- นักจิตวิทยา
คือผู้เชี่ยวชาญที่ศึกษาด้านจิตวิทยาโดยตรง เน้นการทำความเข้าใจความคิด อารมณ์ พฤติกรรม และประสบการณ์ชีวิตของมนุษย์
หน้าที่หลักของนักจิตวิทยา
- พูดคุย รับฟัง และให้คำปรึกษาเชิงลึก
- มีการใช้เทคนิคบำบัด เช่น Mindfulness, CBT (Cognitive Behavioral Therapy)
- ช่วยปรับรูปแบบความคิดและพฤติกรรมของแต่ละบุคคล และพัฒนาสุขภาพจิตระยะยาว
ผู้ที่มีอาการดังนี้ ควรพบนักจิตวิทยา
- ผู้ที่ต้องการเข้าใจตัวเองมากขึ้น
- ผู้ที่มีความเครียด ความคิดลบ หรือปัญหาความสัมพันธ์
- ผู้ที่ต้องการบำบัดโดยไม่ใช้ยา
- ผู้ที่ต้องการพัฒนาทักษะรับมืออารมณ์ในชีวิตประจำวัน
หลายคนกังวลว่าพบจิตแพทย์แล้วจะต้องกินยาเสมอ ซึ่งไม่จริง การใช้ยาจะพิจารณาเฉพาะกรณีที่จำเป็นเท่านั้น การรักษาสุขภาพจิตมีหลายรูปแบบ เช่น
- การพูดคุยบำบัด
- การปรับพฤติกรรมและความคิด
- การฝึกทักษะรับมืออารมณ์