19 Views
Favorite
ในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและความเครียดจากทั้งโลกภายนอกและภายใน หลายคนจึงเริ่มหันมาสนใจ “วิธีคิดเชิงบวกเพื่อสุขภาพใจที่ดี” เพราะการมีสุขภาพใจที่แข็งแรงไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์รอบตัวเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับ “มุมมองความคิด” ที่เรามีต่อตัวเองและโลกใบนี้ด้วย ความคิดเชิงบวกไม่ได้หมายถึงการเพิกเฉยต่อปัญหา แต่คือการมองหาความเป็นไปได้ที่ดีที่สุดในทุกสถานการณ์ ซึ่งสามารถฝึกฝนได้และมีหลักฐานทางจิตวิทยารองรับอย่างชัดเจน
ความคิดเชิงบวก (Positive Thinking) คือ วิธีการมองโลกที่เน้นไปที่โอกาส ความหวัง และการมองปัญหาเป็นบทเรียนมากกว่าภัยคุกคาม คนที่คิดบวกไม่ได้แปลว่าเขาไม่เคยรู้สึกแย่ แต่เขาจะไม่จมอยู่กับความรู้สึกนั้นนานเกินไป และสามารถหาทางกลับมาสู่สมดุลทางใจได้เร็วกว่า
งานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Harvard และ Penn State พบว่า คนที่มีแนวโน้มคิดเชิงบวกจะมีความเครียดน้อยกว่า ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงกว่า และมีอายุยืนยาวกว่าคนที่มองโลกในแง่ร้าย เพราะจิตใจส่งผลโดยตรงต่อสมอง ระบบประสาท และฮอร์โมนในร่างกาย
- รู้สึกเหนื่อยกับทุกอย่าง แม้เรื่องเล็กน้อย
- จิตใจวิ่งวนกับความคิดลบ เช่น “เราทำไม่ได้”, “คงไม่มีทางดีขึ้น”
- มองทุกอย่างในแง่ลบโดยอัตโนมัติ
- ไม่เชื่อว่าตัวเองมีเราค่า หรือมีโอกาสพัฒนา
- ปล่อยให้อารมณ์ด้านลบครอบงำตลอดทั้งวัน
หากเรามีลักษณะข้างต้น การฝึกคิดเชิงบวกจะไม่เพียงช่วยให้ใจดีขึ้น แต่ยังช่วยให้ชีวิตทั้งระบบเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน
ก่อนจะเปลี่ยนความคิดได้ ต้องรู้ก่อนว่าเราคิดอะไรอยู่ โดยฝึกตั้งคำถามกับตัวเองว่า “สิ่งที่เราคิดอยู่นั้นคือข้อเท็จจริง หรือแค่ความกลัว?” หลายครั้งที่เราปรุงแต่งเรื่องราวในหัวจากอารมณ์ ไม่ใช่ความจริง การเขียนไดอารี่ความคิดจะช่วยให้เราเห็นภาพชัดขึ้น และแยกความคิดเชิงลบออกมาได้ง่ายกว่าเดิม
คำพูดกับตัวเอง (Self-Talk) มีพลังมหาศาล เช่น
จาก “ฉันทำพลาดอีกแล้ว” → เปลี่ยนเป็น “ฉันกำลังเรียนรู้จากความผิดพลาด”
จาก “ไม่มีใครสนใจฉัน” → เปลี่ยนเป็น “ฉันมีเราค่าในแบบของฉันเอง”
การใช้ถ้อยคำเชิงบวก ไม่ใช่การหลอกตัวเอง แต่คือการเลือกสนับสนุนตัวเองมากกว่าทำร้ายตัวเองด้วยความคิด
แทนที่จะกังวลกับสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุม เช่น การเมือง เศรษฐกิจ หรือความคิดของคนอื่น ลองหันมาใส่ใจสิ่งที่เราควบคุมได้ เช่น เวลาตื่นนอน พฤติกรรมของเรา คำพูดที่เราจะใช้ และสิ่งที่เราเลือกเสพในแต่ละวัน วิธีนี้จะช่วยให้เรารู้สึกมั่นคงและมีอำนาจในชีวิตมากขึ้น
การเขียน gratitude journal หรือเพียงแค่คิดถึง 3 สิ่งที่เรารู้สึกขอบเราในแต่ละวัน เป็นเทคนิคที่นักจิตวิทยาแนะนำเพื่อสร้างกรอบความคิดเชิงบวก การรับรู้ถึงสิ่งดี ๆ ที่มีอยู่แล้วจะเปลี่ยนสมองให้ไวต่อโอกาสและความสุขมากกว่าความกลัวและความขาดแคลน
พลังของสภาพแวดล้อมส่งผลอย่างชัดเจนต่อแนวคิดของเรา หากเรารายล้อมด้วยคนที่มองโลกในแง่ดี เข้าใจ และสนับสนุน เราก็จะค่อย ๆ ซึมซับวิธีคิดนั้นโดยธรรมชาติ ในทางตรงกันข้าม คนที่ชอบบ่น วิจารณ์ หรือตัดสินผู้อื่นมากเกินไปจะทำให้เราติดอยู่ในวังวนของความลบเช่นกัน
การคิดบวกไม่ใช่การปฏิเสธอารมณ์ลบ แต่คือการรู้เท่าทัน เช่น การบอกตัวเองว่า “ตอนนี้ฉันรู้สึกกลัว…แต่มันจะไม่อยู่กับฉันตลอดไป” เทคนิคนี้มาจากหลักของการฝึกสติ (Mindfulness) ที่ช่วยให้เราอยู่กับความจริงอย่างไม่ติดค้างอารมณ์เกินจำเป็น
บางครั้งการรอให้รู้สึกพร้อมก่อนลงมือทำ อาจทำให้เราติดอยู่ในความกลัวนานเกินไป การลงมือทำทีละก้าวเล็ก ๆ เช่น เริ่มต้นวันด้วยการจัดเตียง ออกไปเดิน 10 นาที หรือลองทำสิ่งใหม่ที่เคยกลัว จะช่วยให้สมองจดจำว่าความสำเร็จเล็ก ๆ ทำให้รู้สึกดี และทำให้เราคิดบวกกับตัวเองมากขึ้น
ความคิดเชิงบวกสร้างสุขภาพใจที่ยั่งยืน การฝึก “วิธีคิดเชิงบวกเพื่อสุขภาพใจที่ดี” ไม่ใช่เรื่องของความโชคดีหรือพรสวรรค์ แต่คือทักษะที่เรียนรู้และฝึกฝนได้ แม้ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด ความคิดเชิงบวกจะช่วยให้เราเห็นความเป็นไปได้ เห็นเราค่าในตัวเอง และพร้อมก้าวต่อไปอย่างเข้มแข็ง
อย่ารอให้ทุกอย่างดีขึ้นก่อนถึงจะคิดบวก แต่จงเริ่มคิดบวกเพื่อให้ชีวิตค่อย ๆ ดีขึ้นในแบบของเราเอง
แหล่งข้อมูล
9 วิธีคิดบวกเพิ่มความสุขง่าย ๆ ในทุกวัน
8 วิธีคิดบวก ฝึกตัวเองเป็นคนใหม่ ที่ดีกว่า! พร้อมแบบประเมินความสุข 15 คำถาม
17 Tips to Increase Positive Thinking and Be More Optimistic
