38 Views
Favorite
ในยุคของการเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็วในโลกการทำงาน แนวโน้มอาชีพและโลกการทำงานในอนาคต (Work & Career Future Trends) กำลังถูกกำหนดโดยหนึ่งในปรากฏการณ์สำคัญที่สุด นั่นคือ "Generational Shift" หรือการที่คนหลายช่วงวัยต้องทำงานร่วมกันภายใต้หลังคาเดียวกัน ตั้งแต่ Baby Boomer, Gen X, Gen Y (Millennials) ไปจนถึง Gen Z การมีอยู่ของความหลากหลายทางอายุในองค์กรไม่เพียงแต่เป็นความท้าทายเชิงการบริหารจัดการ แต่ยังเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างองค์กรที่แข็งแกร่ง นวัตกรรมสูง และมีความยืดหยุ่นพร้อมรับอนาคต
1. Baby Boomer (เกิดระหว่างปี 1946-1964) กลุ่มนี้เติบโตมากับค่านิยมเรื่องความมั่นคง ความภักดี และการทำงานหนัก พวกเขามักอยู่กับองค์กรใดองค์กรหนึ่งเป็นเวลานาน และให้ความสำคัญกับระบบลำดับชั้น ความเคารพในอำนาจ และประสบการณ์
2. Gen X (เกิดระหว่างปี 1965-1980) เป็นเจเนอเรชันที่ขึ้นมาหลังยุคสงครามโลก เติบโตมากับสภาวะเศรษฐกิจผันผวนและครอบครัวที่พ่อแม่ทำงานทั้งคู่ พวกเขาจึงให้ความสำคัญกับความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน (Work-life balance) ชอบความเป็นอิสระและยืดหยุ่น และมักมีทักษะในการบริหารจัดการตนเอง
3. Gen Y หรือ Millennials (เกิดระหว่างปี 1981-1996) เป็นเจเนอเรชันดิจิทัลคนแรกที่เติบโตมากับอินเทอร์เน็ต โซเชียลมีเดีย และเทคโนโลยี พวกเขามีแนวโน้มเปลี่ยนงานบ่อย มองหาความหมายของงานและโอกาสในการพัฒนาตนเอง ชอบทำงานแบบร่วมมือ (collaborative) และให้คุณค่ากับวัฒนธรรมองค์กร
4. Gen Z (เกิดหลังปี 1997) เจเนอเรชันใหม่ล่าสุดที่เข้าสู่ตลาดแรงงาน มีลักษณะเป็นนักเทคโนโลยีโดยกำเนิด (Digital Native) พวกเขามีความคล่องตัวสูง ชอบความรวดเร็ว ต้องการ Feedback ทันที และสนใจในประเด็นสังคม เช่น ความยั่งยืน ความหลากหลาย และความเท่าเทียม
การที่องค์กรประกอบด้วยบุคลากรจากหลายเจเนอเรชันนั้น แม้จะเพิ่มความหลากหลาย แต่ก็นำมาซึ่งความท้าทายหลายประการ เช่น
- ความแตกต่างด้านค่านิยมและวัฒนธรรมการทำงาน
- สไตล์การสื่อสารที่ต่างกัน เช่น Baby Boomer ชอบการพูดคุยต่อหน้า ขณะที่ Gen Z ถนัดใช้แชตหรืออีเมล
- วิธีการทำงานและการเรียนรู้ เช่น Gen Y ชอบเรียนรู้ผ่านการทำงานจริง ขณะที่ Gen Z สนใจการเรียนออนไลน์และข้อมูลสั้นๆ
- ความเข้าใจในเรื่องเทคโนโลยีและนวัตกรรม
1. ส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรที่ยืดหยุ่นและเปิดกว้าง การสร้างวัฒนธรรมที่เคารพความแตกต่าง เปิดรับความคิดเห็นจากทุกเจเนอเรชัน จะทำให้ทุกคนรู้สึกมีคุณค่าและพร้อมมีส่วนร่วม
2. สนับสนุนการเรียนรู้แบบข้ามเจเนอเรชัน (Reverse Mentoring) เปิดโอกาสให้ Gen Z หรือ Millennials ถ่ายทอดความรู้ด้านเทคโนโลยีให้ผู้บริหารอาวุโส ขณะเดียวกันให้ Baby Boomer หรือ Gen X ถ่ายทอดประสบการณ์และวิธีคิดเชิงกลยุทธ์ให้คนรุ่นใหม่
3. ปรับวิธีการสื่อสารให้เหมาะสมกับแต่ละกลุ่ม สื่อสารแบบผสมผสาน เช่น การประชุมแบบเห็นหน้า การใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ และการส่งอีเมล เพื่อให้ครอบคลุมพฤติกรรมของแต่ละเจเนอเรชัน
4. สร้างพื้นที่การทำงานร่วมกัน (Collaboration Space) ส่งเสริมการทำงานเป็นทีมข้ามวัย ผ่านกิจกรรมสร้างทีม การทำโปรเจกต์ร่วมกัน หรือการตั้งเป้าหมายร่วมที่ทุกคนเห็นคุณค่า
5. ส่งเสริมความยืดหยุ่นด้านเวลาและรูปแบบการทำงาน เช่น Hybrid Work หรือการทำงานแบบ Remote ซึ่งสามารถตอบโจทย์ทั้ง Gen X ที่ต้องการสมดุลชีวิต และ Gen Z ที่เน้นความอิสระ
โลกการทำงานในอนาคตจะยิ่งซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น การที่องค์กรจะอยู่รอดและเติบโตได้ ไม่ใช่แค่ต้องตามเทคโนโลยีให้ทัน แต่ต้องเข้าใจและบริหารความหลากหลายทางเจเนอเรชันอย่างมีประสิทธิภาพ การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ยืดหยุ่น เปิดรับ และสนับสนุนความร่วมมือระหว่างวัย จะเป็นกุญแจสำคัญสู่การพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนในยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านเช่นนี้ Generational Shift ไม่ใช่อุปสรรค แต่คือโอกาสที่จะรวมพลังจากทุกวัยเพื่อสร้างองค์กรแห่งอนาคตที่แข็งแกร่ง ยั่งยืน และมีความหมายอย่างแท้จริง
แหล่งข้อมูล
Generation Gap เข้าใจ “ความต่าง” ระหว่างวัย ความท้าทายใหม่โลกการศึกษา
ทำความรู้จัก Generation Gap อีกหนึ่งปัญหาที่หลายออฟฟิศต้องเจอ
สังคม 4 เจนเนอเรชั่น แตกต่าง..แต่อยู่ร่วมกันได้ในองค์กร
