ในโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความท้าทาย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อม ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ สิทธิมนุษยชน หรือการเปลี่ยนแปลงทางสังคม แนวคิดเรื่อง “การมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคมและความรับผิดชอบต่อสังคมโลก” กลายเป็นแนวทางสำคัญที่สะท้อนถึง Global Awareness (ความเข้าใจเกี่ยวกับโลกและสังคมโลก) ที่ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น โลกไม่ได้ต้องการเพียงแค่ผู้นำหรือองค์กรที่ยิ่งใหญ่ แต่ต้องการพลังเล็กๆ จากแต่ละบุคคลที่พร้อมจะลงมือเปลี่ยนแปลงโลกจากจุดที่ตนยืนอยู่ เมื่อผู้คนเริ่มตระหนักว่า ปัญหาของโลกเชื่อมโยงกันหมด การมีส่วนร่วมในกิจกรรมเพื่อสังคมจึงไม่ใช่แค่ความดีงามส่วนตัว แต่คือภารกิจร่วมของมวลมนุษยชาติ ความเข้าใจในบทบาทของตนเองในฐานะ “พลเมืองโลก” (global citizen) จึงกลายเป็นหัวใจของการขับเคลื่อนสังคมให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างสมดุลและยั่งยืน
การมีส่วนร่วมทางสังคม หมายถึงการที่บุคคลหรือกลุ่มบุคคลลงมือกระทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่สังคม ไม่ว่าจะเป็นในระดับท้องถิ่นหรือระดับโลก โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนา แก้ไข หรือยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในสังคม พร้อมทั้งตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อผู้อื่นและต่อโลกใบนี้ ในบริบทของ Global Awareness การมีส่วนร่วมทางสังคมไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการเป็นอาสาสมัครหรือการบริจาคเงินเท่านั้น แต่รวมถึงการรับรู้ปัญหาระดับโลกและการลงมือกระทำบางอย่างที่ส่งผลดีต่อผู้อื่น เช่น การสนับสนุนสินค้าที่มีจริยธรรม การเข้าร่วมรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อม หรือการให้ความรู้และสร้างความเข้าใจแก่สังคมในประเด็นที่สำคัญ
ความรับผิดชอบต่อสังคมโลก ไม่ได้เป็นภาระ แต่คือความตั้งใจของแต่ละบุคคลในการมีส่วนร่วมต่อสิ่งที่ใหญ่กว่าตนเอง มันเริ่มต้นจากความเข้าใจว่าโลกนี้เป็นของเราทุกคน และเราทุกคนต่างมีผลกระทบต่อกันในทางใดทางหนึ่ง เช่น เมื่อเราเลือกใช้พลาสติกเพียงครั้งเดียว เราอาจกำลังเพิ่มภาระให้ระบบนิเวศทางทะเล เมื่อเราซื้อเสื้อผ้าราคาถูกจากโรงงานที่เอาเปรียบแรงงาน เรากำลังสนับสนุนความไม่ยุติธรรมในระบบเศรษฐกิจโลก หรือเมื่อเราเพิกเฉยต่อข่าวสารเรื่องสิทธิมนุษยชนในประเทศหนึ่ง เรากำลังลดคุณค่าของความเป็นมนุษย์ในระดับสากล
ดังนั้น การตระหนักรู้ในระดับโลกจึงเป็นจุดเริ่มของความรับผิดชอบที่แท้จริง เพราะเมื่อเรา “เห็น” เราจะเริ่ม “รู้สึก” และเมื่อเรารู้สึก เราจะเริ่ม “ลงมือทำ”
ตัวอย่างกิจกรรมทางสังคมที่สามารถเริ่มต้นได้ทันที
1. อาสาสมัครในโครงการเพื่อสิ่งแวดล้อม เช่น การปลูกป่า เก็บขยะชายหาด หรือสนับสนุนองค์กรที่ปกป้องสัตว์ป่า
2. รณรงค์สิทธิมนุษยชน ผ่านสื่อโซเชียลมีเดียหรือเข้าร่วมกิจกรรมขององค์กรระดับโลกที่ส่งเสียงให้ผู้ถูกกดขี่
3. สนับสนุนเศรษฐกิจชุมชนและสินค้าที่เป็นธรรม เช่น การซื้อสินค้าจากชาวบ้านหรือองค์กร Fair Trade
4. บริจาคความรู้และทักษะ ผ่านการเป็นครูอาสา หรือการอบรมทักษะชีวิตให้กับกลุ่มด้อยโอกาส
5. ใช้พลังเสียงของตนในการผลักดันนโยบายสาธารณะ เช่น การลงชื่อสนับสนุนกฎหมายเพื่อความยั่งยืน หรือการส่งเสียงต่อประเด็นที่มีผลกระทบต่อมนุษยชาติ
คำว่า “คนธรรมดา” ไม่มีความหมายเมื่อพูดถึงพลังของการมีส่วนร่วม เพราะในความเป็นจริง โลกเปลี่ยนแปลงได้จากการกระทำเล็กๆ ของคนมากมายที่ตัดสินใจทำสิ่งที่ถูกต้อง การที่เราเลือกบริโภคอย่างมีจิตสำนึก เลือกสนับสนุนองค์กรที่มีความรับผิดชอบ หรือเลือกที่จะตั้งคำถามต่อความไม่เป็นธรรม ล้วนแล้วแต่คือการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ค่อยๆ เกิดขึ้นในทุกมิติของสังคม ตัวอย่างเช่น กระแส #FridaysForFuture ที่ริเริ่มโดยเยาวชนจากทั่วโลก รวมถึง Greta Thunberg ได้กลายเป็นแรงกระเพื่อมขนาดใหญ่ที่ส่งผลต่อการกำหนดนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศของรัฐบาลหลายประเทศ นั่นคือพลังของการมี Global Awareness และการไม่เพิกเฉยต่อสิ่งที่ควรเปลี่ยน
การมีส่วนร่วมทางสังคมไม่ควรถูกมองว่าเป็นกิจกรรมเพียงชั่วคราวหรือกระแสหนึ่งที่ผ่านไปแล้วจางหาย แต่ควรเป็นวัฒนธรรมใหม่ที่ฝังรากอยู่ในชีวิตประจำวัน โดยต้องเริ่มจากตัวเราก่อน จากนั้นจึงขยายสู่ครอบครัว ชุมชน ประเทศ และโลก ผลลัพธ์ของการมีส่วนร่วมในระดับโลกมีให้เห็นชัดเจน เช่น ชุมชนที่เข้มแข็งและมีความสามารถในการพึ่งพาตนเอง เยาวชนที่มีทักษะชีวิตและจิตสำนึกที่ดีต่อสังคม ระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรมและยั่งยืน สิ่งแวดล้อมที่ได้รับการฟื้นฟูและดูแล
การมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคมและความรับผิดชอบต่อสังคมโลก เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนโลกให้ไปสู่ความสมดุลและยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นในมิติด้านมนุษยธรรม สิ่งแวดล้อม หรือเศรษฐกิจ การปลูกฝัง Global Awareness ให้กับตนเองและผู้อื่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นพลเมืองโลกที่แท้จริง เราทุกคนมีบทบาท มีเสียง และมีพลังพอที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ได้ หากเราเริ่มลงมือทำตั้งแต่วันนี้
จงอย่ารอให้โลกเปลี่ยน จงเปลี่ยนแปลงโลกด้วยตัวคุณเอง