Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา

ท่านพุทธทาสภิกขุ : ปีใหม่ ไม่ได้ใหม่จริง และ ปัจจุบัน ของพระอริยเจ้า ไม่ใช่ ปัจจุบัน ที่เรามักเข้าใจ

Posted By มหัทธโน | 17 ธ.ค. 64
7,272 Views

  Favorite

ธรรมเทศนา ชุด เทศน์วันปีใหม่

โดย พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)

 

ปีใหม่เป็นของซ้ำ ๆ ซาก ๆ ไม่ได้ใหม่จริง ต้องจิตใจใหม่

"ปีใหม่" เอาความใหม่ไปยกให้กับเวลาที่เรียกว่าปี 

ปีหนึ่ง ปีหนึ่ง เป็นปีใหม่ปีเก่าขึ้นมาดังนี้ ดูมันจะไม่ฉลาดอะไรนัก เพราะปีมันเป็นของซ้ำๆ ซากๆ ดังที่กล่าวมาแล้ว

ไม่ควรจะเป็นปีใหม่อะไรขึ้นมาได้เลยเพราะมันซ้ำอยู่อย่างนั้น 

 

แต่สำหรับหัวใจของคนนั้นมันเปลี่ยนได้นั้น ถ้ามันเปลี่ยนได้จริงจึงจะเรียกว่าจิตใจใหม่

เช่นนั้นเราจะมีจิตใจใหม่ได้โดยที่ไม่ต้องตรงกับวันปีใหม่ เดือนใหม่อะไร

ถ้ามันใหม่อยู่ที่ชีวิตของเรา ก็ให้มันใหม่จริงก็แล้วกัน  

ความหมายในทางภาษาคน มันสิ้นสุดลงเท่านั้น

 

คือว่า เอาเวลาเป็นหลัก เป็นอดีต เป็นอนาคต เป็นปัจจุบัน เป็นเรื่องของคนโง่ ที่ยังไม่รู้ว่าเวลานั้นคืออะไร

ทีนี้ไอ้สิ่งสำคัญที่สุดที่เราจะต้องเข้าใจและศึกษากันให้ดีก็คือคำว่า  ปัจจุบัน นั่นแหละสำคัญอย่างยิ่ง

 

"ปัจจุบัน" ในภาษาของพระอริยเจ้า

ไม่เหมือนคำว่า "ปัจจุบัน" ในภาษาคนทั่วไป

 

คำว่า ปัจจุบัน ในภาษาคนโง่นั้นมันเป็น อย่างหนึ่ง

คำว่าปัจจุบันในภาษาพระอริยเจ้าหรือผู้รู้ที่แท้จริงนั้น มันเป็นอีกอย่างหนึ่ง

มันสองปัจจุบัน ดูให้ดีๆ 

ปัจจุบันในภาษาคนนั้นเป็นของหลอกลวงที่สุด คือไม่มีจริง

ปัจจุบันในภาษาธรรมหรือภาษาพระอริยเจ้านั้นเป็นของจริงที่สุดและได้มีอยู่จริง

ขอให้สังเกตดูให้ดีและค้นหาดูให้พบ 

 

ปัจจุบันในภาษาคนมิได้มีอยู่จริง เพราะคนมันไปโง่หลง เป็นทาสของเวลาสมมติ เป็น อดีต ปัจจุบัน และ อนาคต 

แต่แล้วเวลานั้นมันเป็นสิ่งที่ไหลเรื่อย จนเราไม่อาจจะยึดเอาส่วนไหนให้เป็นอะไรได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือคำว่า ปัจจุบัน 

 

ปัจจุบัน ตามความรู้สึกของคนธรรมดาสามัญนั้น มันมีไม่ได้ เพราะว่าสิ่งต่าง ๆ มันเปลี่ยนไปเรื่อย  แม้แต่ร่างกาย จิตใจนี้ มันก็เปลี่ยนไปเรื่อย

และเมื่อเอาจิตเป็นหลักแล้ว ปัจจุบันแทบจะหาไม่ได้ เพราะว่า จิตมันเกิดดับ เกิดดับ อยู่เสมอ 

ความคิดของคนเราจะเป็นปัจจุบันอยู่ไม่ได้ มันกลายเป็นความคิด ที่อดีตไปทุก ๆ คำที่พูด หรือว่าทุกๆ เรื่องที่เอามาพูด

พูดไม่ทันจบเรื่อง ส่วนต้นๆ มันก็กลายเป็นอดีตไปแล้ว

 

จิตนี้มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป  ดังนั้นใครจะเอาส่วนไหนของมันมาเป็นปัจจุบันได้ 

นี่แหละที่ผู้รู้เขารู้กันและพูดกันว่า

ปัจจุบันชนิดนั้น มิได้มี แต่คนโง่ๆ ก็ว่ามี คนธรรมดาสามัญ ก็ว่ามี

...

"ใหม่" คืออะไร

"ปัจจุบัน" ในความหมายของพระอริยเจ้าคืออะไร ?

(คัดลอกบางส่วนเพิ่มเติม)

ใจความในส่วนนี้ก็มีแต่เพียงว่า สิ่งที่ไม่รู้จักเปลี่ยนแปลง และเป็นปัจจุบันอยู่เรื่อยนั้นก็คือ ความว่าง 

ผู้ใดเข้าถึงความว่าง ผู้นั้นก็เข้าถึงความใหม่

ความใหม่ของอะไรทุกสิ่งทุกอย่าง ความใหม่ของจิตใจ ความใหม่ของร่างกาย ความใหม่ของวันคืน เดือน ปี ความใหม่ของอะไรๆ ทุกอย่างไปหมด

เพราะว่าเขาได้เข้าถึงสิ่งที่ไม่รู้จักเปลี่ยนแปลงคือ เป็นปัจจุบันในความหมายทางภาษาธรรมนั้นเอง 

 

ปัจจุบันในความหมายทางภาษาคนนั้นเป็นของหลอก เป็นของมิได้มีอยู่จริงแล้วคนก็เข้าถึงอยู่เรื่อยด้วยอาการหลอก ๆ ไม่รู้สึกตัว เหมือนคนนั่งในรถไฟสองคนที่วิ่งไปสองคันพร้อม ๆ กันฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น มันก็โง่ไปตลอดกาล ไม่มีทางรู้ได้ว่า รถไฟกำลังวิ่ง

 

คนโง่เหล่านี้ไม่มีทางที่รู้ได้ว่าอดีต ปัจจุบัน อนาคตนี้มันไหลวิ่งไป จนไม่มีอดีต ปัจจุบัน หรือ อนาคต มันไปเห็นเป็น มีอดีต ปัจจุบัน อนาคต เสียเรื่อยมันจึงได้ติดอยู่ในวัฏฏสงสาร 

พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสว่า

ไม่ติดอยู่ข้างต้น ไม่ติดอยู่ข้างปลาย ไม่ติดอยู่ที่ตรงกลางก็จะหลุดพ้นได้ 

นี่ก็หมายความว่า ต้องไม่ติดอยู่ในอดีต คือข้างต้น ไม่ต้องติดในอนาคต คือขั้นปลาย และไม่ต้องติดอยู่ที่ตรงกลาง คือปัจจุบันด้วย  

 

เมื่อเขาไม่ติดอยู่ในอดีต ปัจจุบัน อนาคต ในภาษาคนเช่นนี้แล้ว เขาก็จะเข้าถึงปัจจุบันที่แท้จริงในภาษาธรรมคือ สิ่งที่ไม่รู้จักเปลี่ยนแปลง ที่เรียกว่า พระนิพพานนั้นเป็นแน่นอน 

เว็บไซต์ทรูปลูกปัญญาดอทคอมเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป
Tags
  • Posted By
  • มหัทธโน
  • 4 Followers
  • Follow