เนื่องในอภิลักขิตสมัยขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช ๒๕๖๒ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานพระคติธรรม ความว่า
“บัดนี้ บรรลุถึงอภิลักขิตสมัยขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช ๒๕๖๒ แล้ว ผู้คนทั้งหลายต่างกล่าวคำอำนวยพรให้แก่กันและกันโดยทั่วไป จิตใจอันประกอบด้วยเมตตาธรรมเช่นนี้ นับเป็นบุญเป็นกุศล สามารถยังความเจริญสุขให้บังเกิดขึ้นได้ในสังคม
เมื่อทบทวนชีวิตความเป็นอยู่ของแต่ละคนในรอบปีที่ผ่านมา ย่อมพบว่าต่างคนต่างต้องประสบกับทั้งความสุข และความทุกข์ สลับสับเปลี่ยนไปมาด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครที่จะสุขกายสบายใจไปได้ตลอดเวลา เพราะความทุกข์นั้นเป็นของธรรมดาประจำโลก มนุษย์จึงแสวงหาหนทางพ้นทุกข์ ด้วยกระบวนการอันเนื่องมาจากวิธีคิดต่าง ๆ กันไป
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระมหากรุณาต่อสรรพสัตว์ จึงประทานหลักการสำคัญไว้ให้แก่ชาวโลกว่า
ถ้าปรารถนาจะถึงความพ้นทุกข์ ต้องรู้จักทุกข์ และรู้ต้นเหตุแห่งทุกข์นั้นๆ ให้ได้กระจ่างเสียก่อน ตามหลักการที่เรียกว่า อริยสัจ ๔ เมื่อรู้ทุกข์ และเหตุแห่งทุกข์แล้ว จึงจะสามารถกำหนดวิถีทางดับทุกข์ พร้อมกับประพฤติปฏิบัติตามวิถีนั้น ๆ ไป จนบรรลุถึงความดับทุกข์ได้ด้วยตนเอง
ผู้คนเป็นอันมากเมื่อประสบความขัดข้องใจ ก็จะออกอาการขุ่นเคือง หยาบคาย โกรธขึ้ง ไปจนถึงขั้นทำร้ายเบียดเบียนกัน ก่อให้เกิดปัญหาในสังคมดังที่ได้ยินข่าวกันอยู่เนือง ๆ ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากบุคคลเหล่านั้นไม่รู้จักทุกข์ และไม่รู้จักสาเหตุแห่งทุกข์ ว่าล้วนเกิดจาก ‘ความเห็นแก่ตัว’ จึงตั้งทิฐิมานะไว้ว่า ตนยิ่งใหญ่และถูกต้องเสมอ บุคคลผู้มีความเห็นดังกล่าว ย่อมไม่อาจอดทนอดกลั้นต่อความประพฤติ หรือความคิดเห็นของใคร ๆ ที่แตกต่างไปจากความคิดเห็นของตน
ท่านผู้ปรารถนาความสุขในปีใหม่นี้ จึงพึงระลึกรู้อยู่เสมอว่า
ต้นเหตุของความทุกข์ที่บังเกิดขึ้นในชีวิต ล้วนเกิดจากการตั้งทิฐิไว้บนหนทางที่ผิด ถ้าเริ่มต้นแก้ไขปัญหาด้วยการทำความเห็นให้ถูกต้อง โดยยึดมั่น ‘ขันติธรรม’ คือความอดทนอดกลั้นเป็นพื้นฐาน เป็นเครื่องยับยั้ง ไม่ให้พูด และไม่ให้ทำสิ่งใด ๆ อย่างหุนหันพลันแล่น ท่านย่อมสามารถผ่านพ้นปัญหาและอุปสรรคไปได้เสมอ
ขันติจึงเป็นตบะ ซึ่งช่วยบรรเทากิเลสให้เบาบางลง เป็นการเปิดโอกาสให้คุณธรรมอื่น ๆ เช่น ความจริงใจ ความเมตตา ความเสียสละ และความสามัคคี สามารถงอกงามขึ้น เป็นดั่งพรที่ทุกคนพึงหยิบยื่นแบ่งปันให้กัน ในที่ทุกสถาน และในกาลทุกเมื่อ
ขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และคุณงามความดีที่ทุกท่านได้ร่วมกันสร้างสรรค์ จงบันดาลความเจริญรุ่งเรืองแก่ประเทศชาติ และประชาชน ยังความปราโมทย์เบิกบานพระกมลให้บังเกิดใน สมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ เพื่อจักได้เสด็จสถิตธำรง ทรงเป็นมิ่งขวัญหลักชัยอยู่ยิ่งยืนนาน ทรงปกป้องพสกนิกร ให้ภิญโญสโมสรด้วยความสุขเกษมศานต์ ตลอดพุทธศักราช ๒๕๖๒ โดยทั่วกัน เทอญ.”