จากกรณีมีเสียงสนับสนุนการปรับระบบการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษา ภายหลังที่ประชุมร่วมระหว่างที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) และสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) มี พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นประธาน มีข้อสรุปให้ปรับระบบการรับนักเรียนเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษา ในปีการศึกษา 2561 โดยระบบใหม่จะจัดช่วงเวลาการสอบเพื่อนำคะแนนไปใช้ในการเข้าเรียนในสถาบันอุดมศึกษา หลังนักเรียนเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ช่วงประมาณกลางเดือนมีนาคม หลังจากนั้นจะเปิดมหกรรมการสอบ ทั้งการสอบวิชาความถนัดทั่วไป (GAT) การสอบวิชาความถนัดทางวิชาการ/วิชาชีพ (PAT) และการสอบวิชาสามัญ 9 วิชา ซึ่งเป็นวิชาที่ใช้ในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย โดยจะใช้เวลาในการจัดสอบวิชาต่างๆ ประมาณ 6 สัปดาห์ ถึง 2 เดือน หลังจากทราบคะแนนแล้ว จะเปิดรับสมัครเลือกสาขาวิชาและมหาวิทยาลัยที่ต้องการเข้าเรียนได้ 4 อันดับ เมื่อเด็กเลือกแล้ว มหาวิทยาลัยจะคัดเลือกเด็กตามลำดับคะแนน และแจ้งผลการคัดเลือกกลับมาที่ส่วนกลางเพื่อเข้าสู่ระบบสอบตรงร่วม หรือเคลียริ่งเฮ้าส์ ซึ่งจะมีทั้งหมด 2 รอบนั้น
เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม นายอดิศร เนาวนนท์ คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) นครราชสีมา เปิดเผยว่า กรณีที่ ศธ.จะยกเลิกระบบแอดมิสชั่นส์ และหันมาใช้ระบบเคลียริ่งเฮ้าส์ที่คล้ายกับระบบเอ็นทรานซ์ในปี 2561 และจะหารือกับ มรภ.ให้ใช้ระบบเดียวกันนั้น ส่วนตัวมองว่าอาจจะแก้ไขเรื่องการวิ่งรอกสอบ ซึ่งเด็กที่มีฐานะดีกว่าจะได้เปรียบ แต่จะแก้ไขปัญหาได้เพียงระดับหนึ่งแต่ไม่ทั้งหมด และจะยิ่งสร้างปัญหาใหม่ๆ หรือไม่ เพราะเป้าหมายการรับนักศึกษาเข้าเรียมหาวิทยาลัยก็เพื่อพัฒนาเด็กให้เป็นกำลังหรือมันสมองของประเทศ จึงควรปล่อยให้มหาวิทยาลัยซึ่งเป็นนิติบุคคล มีโอกาสคัดเลือกนักศึกษาเองได้ตรงตามปรัชญาและอุดมการณ์ของคณะ/สาขาวิชาการ แล้วพัฒนาให้ไปเป็นมันสมองของประเทศ วิธีนี้จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศมากกว่า ทั้งนี้ วิธีการคัดเลือกเด็กไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการสอบ แต่อาจใช้วิธีการอื่น อย่างมหาวิทยาลัยต่างประเทศ จะให้เด็กเขียนเรียงความ และดูประวัติประกอบ ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการสอบเสมอไป
“แนวคิดดังกล่าวแก้ไขเรื่องความชอบธรรม และความเหลื่อมล้ำของเด็กที่มีฐานะร่ำรวยและยากจน แต่จะเป็นการสร้างปัญหาใหม่ๆ หรือไม่ โดยเฉพาะการบังคับมหาวิทยาลัยต่างๆ มาเข้าร่วม อาทิ มรภ.หรือมหาวิทยาลัยรัฐต่างจังหวัด ที่เดิมจะมีวิธีสอบรับตรงที่ให้สิทธิเด็กในพื้นที่เฉพาะ การให้โควต้าเรียนดีแต่ยากจน โควต้านักกีฬา เป็นต้น ซึ่งมหาวิทยาลัยเหล่านั้นมีระบบคัดเลือกเด็กที่ดี และไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่ที่เป็นปัญหาทุกวันนี้คือมหาวิทยาลัยรัฐที่มีการแข่งขันสูง และเป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่เป็นสมาชิก ทปอ.ทั้งนั้น ที่เปิดสอบรับตรงหลายครั้ง ดังนั้นถ้าจะใช้รูปแบบใหม่ก็ควรใช้กับมหาวิทยาลัยที่มีปัญหาเหล่านั้น ไม่ควรบังคับให้ทุกมหาวิทยาลัยต้องมาเข้าร่วม ควรเป็นไปตามความสมัครใจ ซึ่งไปดูระบบเอ็นทรานซ์รูปแบบเดิมได้เลยว่ามี มรภ.ไม่กี่แห่งเท่านั้นที่ร่วม ฉะนั้น มองว่าควรให้สิทธิมหาวิทยาลัยในการคัดเลือกเด็ก แต่ใช้มาตรการและกลไกในการควบคุมไม่ให้เกิดปัญหา วิธีนี้จะได้ประโยชน์ต่อประเทศมากกว่า” นายอดิศรกล่าว
นางดาริกา ลัทธพิพัฒน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (มธบ.) กล่าวว่า ส่วนตัวเห็นด้วยที่จะให้จัดสอบและคัดเลือกเด็กเข้าเรียนในสถาบันอุดมศึกษาพร้อมกันรอบเดียวทั้งระบบ เพราะง่ายกับการบริหารจัดการ โดยเฉพาะหากภาครัฐต้องการเน้นในสาขาที่เป็นความต้องการของประเทศ ก็กำหนดสาขาและจำนวนที่ต้องการลงไปได้ในคราวเดียว ขณะเดียวกันก็เชื่อว่าจะช่วยแก้ปัญหามหาวิทยาลัยรัฐเปิดรับตรงหลายรอบ ซึ่งเป็นเรื่องที่มหาวิทยาลัยเอกชนเองก็ฝ่าฟันและพยายามแก้ปัญหามาโดยตลอด หากใช้ระบบนี้คิดว่าปัญหาดังกล่าวจะลดลง อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวไม่กังวลว่าเด็กจะเลือกเข้าเรียนเฉพาะมหาวิทยาลัยรัฐเท่านั้น เพราะปัจจุบันมหาวิทยาลัยเอกชนพัฒนาตัวเองให้มีคุณภาพ ทั้งด้านวิชาการและการบริหารจัดการให้ดีขึ้นมากแล้ว
นางคัคณางค์ (สงวนนามสกุล) ผู้ปกครองนักเรียนชั้น ม.5 โรงเรียนรัฐแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าการจะเปลี่ยนระบบการสอบเข้ามหาวิทยาลัยใดๆ ควรต้องวางแผนล่วงหน้า และควรต้องแจ้งผู้ปกครองให้ทราบล่วงหน้า เพราะเชื่อว่าผู้ปกครองหลายคนได้วางแผนจัดตารางเรียนและการกวดวิชาสำหรับสอบเข้าเอาไว้แล้ว หากเปลี่ยนกะทันหัน และไม่มีการเตรียมความพร้อมอาจส่งผลกระทบ อีกทั้ง การเปลี่ยนจากระบบแอดมิสชั่นส์มาเป็นระบบที่คล้ายกับเอ็นทรานซ์เดิม โดยเปิดโอกาสให้นักเรียนได้สอบ GAT และ PAT แค่ครั้งเดียวคือปลายเดือนมีนาคม หรือหลังจากสอบชั้น ม.6 เสร็จ จากเดิมที่สอบได้ 2 ช่วง คือ ช่วงเดือนมีนาคมและเดือนตุลาคมนั้น มองว่าเด็กเสียโอกาส เพราะกรณีที่เด็กเครียดจัด ทำข้อสอบไม่ได้ ก็ปิ๋วไปเลย แต่ถ้าเปิดให้สอบ GAT และ PAT ได้ 2 ครั้ง ครั้งแรกที่เด็กทำคะแนนไม่ดี ก็ยังมีโอกาสแก้ตัวในรอบที่ 2
“ส่วนตัวมองว่ายังควรเปิดโอกาสให้เด็กสอบ GAT และ PAT ได้ 2 รอบเหมือนเดิม เพียงแต่อาจขยับการสอบให้เร็วขึ้น ครั้งแรกสอบเดือนกุมภาพันธ์ และครั้งที่ 2 สอบเดือนมีนาคม ส่วนที่ว่าลดสอบหลายครั้งเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และลดการวิ่งรอกสอบ ซึ่งเด็กมีฐานะจะได้เปรียบกว่าเด็กที่ยากฐานนั้น ส่วนตัวมองว่าถ้าต้องการช่วยเด็กที่มีฐานะไม่ดี ก็ช่วยโดยการลดค่าสมัครได้ เพราะการเปิดโอกาสให้สอบได้ 2 รอบ ถือเป็นให้โอกาสเด็กกลุ่มนี้ได้มีโอกาสสอบ 2 ครั้งด้วยเช่นกัน ส่วนที่เด็กรู้คะแนนแต่ละวิชาล่วงหน้าก่อนเลือก 4 อันดับคณะ ช่วยให้เด็กไม่เครียดนั้น ส่วนตัวมองว่าไม่ได้ลดความเครียด โดยเฉพาะในกรณีที่สอบรอบเดียวแล้วทำคะแนนไม่ได้ แต่เหมือนให้เด็กทำใจได้มากกว่าว่าคะแนนไม่ดีพอที่จะเลือกคณะที่ต้องการ ส่วนตัวจึงยืนยันว่าการเปิดให้สอบ GAT และ PAT ได้ 2 รอบ เป็นการให้โอกาสเด็กมากกว่า และไม่ทำให้เด็กเครียด อย่างไรก็ตาม หลังมีข่าวจะเปลี่ยนระบบการสอบเข้ามหาวิทยาลัย บรรดาผู้ปกครองที่มีลูกหลานเรียนอยู่ชั้น ม.5 เกิดความกังวลใจอย่างมาก มีการพูดคุยซักถาม เพราะขณะนี้แต่ละคนยังไม่รู้รายละเอียดแน่ชัดว่าบุตรหลานของตัวเองจะต้องได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง” นางคัคณางค์กล่าว
นางคัคณางค์กล่าวอีกว่า ขอฝากถามด้วยความสงสัยว่า แต่เดิมเราเคยใช้ระบบเอ็นทรานซ์เพื่อคัดเลือก ต่อมาเปลี่ยนเป็นระบบแอดมิสชั่นส์นั้นเพราะอะไร และตอนนี้ระบบแอดมิสชั่นส์เดิมไม่ได้ตอบโจทย์เดิมแล้วหรือ ถึงได้เปลี่ยนระบบกลับไปอีก การที่แต่ละมหาวิทยาลัยมีรับตรงขึ้นเพราะอะไร หรือเพราะว่าการสอบแอดมิสชั่นส์ที่มีอยู่ตอนนี้ไม่ได้ตอบโจทย์ ส่งผลให้เด็กที่สอบเข้าด้วยวิธีแอดมิสชั่นส์ปกติ ไม่สามารถเรียนได้หรือเปล่า ซึ่งถ้าปัญหาตรงจุดนี้ได้นำมาวิเคราะห์โดยผู้มีความรู้ น่าจะทำให้อนาคตเราไม่ต้องเปลี่ยนวิธีสอบคัดเลือกกลับไปกลับมา เพื่อแก้ปัญหา
น.ส.นันทินา เจริญธัญญา อาจารย์ประจำโรงเรียนบ้านช่องกะพัด จ.จันทบุรี กล่าวว่า เห็นด้วยที่จะใช้ระบบให้นักเรียนสอบเพียงครั้งเดียว เมื่อรู้คะแแนนสอบแล้ว สามารถนำคะเเนนไปเลือกคณะเรียนได้ ระบบนี้จะทำให้นักเรียนมีเวลาเตรียมตัวได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากระบบปัจจุบันต้องสอบเก็บคะเเนนหลายรอบ ทำให้นักเรียนกดดัน เกิดความตึงเครียดในการเรียน ต้องหาเวลาเรียนพิเศษเพิ่ม เกิดการแข่งขันสูง เนื่องจากบางมหาวิทยาลัยเปิดรับตรง และกำหนดคุณสมบัติเอง ทำให้นักเรียนที่ฐานะยากจนเสียโอกาส ดังนั้น การใช้ระบบรับตรงส่วนกลาง จะช่วยให้ลดความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษาไปได้มาก ที่สำคัญช่วยลดค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองไปได้มากเช่นเดียวกัน