กินเจ-กินผัก
ทีมงานทรูปลูกปัญญา | 2009-08-27 09:39:27
กินเจ-กินผัก
ช่วงระหว่างวันที่ ๒๒-๓๐ ตุลาคมนี้ เป็นเทศกาลกินเจ เทศกาลแห่งความสามัคคีในการทำดี ประพฤติดีของคนจีน และคนไทยเชื้อสายจีน ด้วยการทำบุญให้ทาน และทำตัวให้สะอาดบริสุทธิ์ทั้งกายและใจ เช่น ไม่ลักทรัพย์ ไม่เสพประเวณี ไม่พูดเท็จ ไม่เสพสิ่งมึนเมา ไม่ฆ่าสัตว์และบริโภคอาหารที่ปรุงจากสัตว์ แต่จะหันมาบริโภคพืชผักและผลไม้แทน ซึ่งถ้าจะดูไปแล้วก็คือการถือศีล ๕ นั่นเอง ในเรื่องตำนานที่มาของประเพณีการกินเจได้เคยเผยแพร่ไว้แล้ว ในครั้งนี้จะนำข้อมูลเกี่ยวกับประโยชน์ของอาหารที่ชาวเจนิยมบริโภคมาให้รับทราบดังนี้
- “ข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือ” เป็นข้าวที่มีคุณค่าทางอาหารสูง เพราะมีทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุจำนวนมาก รวมถึงมีกากใยอาหารสูงด้วย การกินข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือ นอกจากจะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคเหน็บชา โรคปากนกกระจอก โรคโลหิตจาง และโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่แล้ว ยังจะช่วยบำรุงสมอง และช่วยให้กระดูกแข็งแรงอีกด้วย
- “ถั่วเหลือง” เป็นที่นิยมนำมาประกอบอาหารเจกันมาก ทั้งที่นำมาเป็นส่วนผสมโดยตรงแล้ว ก็ที่แปรรูปเป็นอย่างอื่นเช่น ทำเต้าหู้ขาว ซึ่งมีทั้งชนิดแข็งและชนิดอ่อน เต้าหู้เหลือง ก็มีทั้งชนิดแข็งและชนิดอ่อน เต้าหู้หลอด ฟองเต้าหู้ น้ำนมถั่วเหลือง และโปรตีนเกษตรชนิดต่างๆ เนื่องจากถั่วเหลืองเป็นพืชที่มีวิตามิน และแร่ธาตุมากมาย มีโปรตีนสูงมากจนเกือบจะแทนที่เนื้อสัตว์ได้ มีกากใยอาหารสูงซึ่งจะช่วยในการขับถ่ายและป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ มีไขมันที่ไม่อิ่มตัวซึ่งจะช่วยละลายคลอเรสเตอรอล มีธาตุเหล็กสูงซึ่งจะช่วยบำรุงโลหิตและบำรุงประสาท ทั้งยังจะช่วยป้องกันโรคตับและละลายนิ่วในถุงน้ำดีได้อีกด้วย
- “เห็ด” เป็นอาหารอีกชนิดหนึ่งคือใช้แทนเนื้อสัตว์ก็ได้เพราะมีโปรตีนที่มีรสดี ใช้แทนผักก็ให้รสที่อร่อย ทั้งยังมีกรดอะมิโน มีวิตามิน และแร่ธาตุหลายชนิด แต่ไม่มีแป้งซึ่งเป็นตัวการทำให้อ้วนหรือมีน้ำตาลในเลือดสูง จึงเป็นที่นิยมนำมาประกอบอาหารเจ
- “กะหล่ำปลี” เป็นผักอีกชนิดหนึ่งที่เราจะพบได้ในแทบจะทุกที่ ที่มีอาหารเจจำหน่ายหรือเลี้ยงกันตามโรงเจ กะหล่ำปลีนั้น นอกจากจะมีวิตามินซีสูงแล้ว ยังมีสารต้านมะเร็งอยู่หลายตัว ได้มีการทดลองทางเภสัชวิทยาแล้วพบว่า น้ำคั้นจากกะหล่ำปลีสดสามารถรักษาโรคกระเพาะหรือลำไส้เป็นแผลได้ โดยดื่มวันละสองแก้ว ติดต่อกัน ๑๐ วัน
- “กวางตุ้ง” เป็นผักที่มีไขมันน้อย แต่มีกากใยมาก กินแล้วนอกจากจะไม่อ้วน ขับถ่ายสบายแล้วยังจะทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายดีอีกด้วย จึงเป็นผักอีกชนิดหนึ่งที่น่าจะพิจารณานำมาทำอาหารเจรับประทานในเทศกาลกินเจ
- “คะน้า” เป็นผักที่นิยมในเทศกาลฯ เช่นกัน คะน้ามีวิตามินซี และแคลเซี่ยมสูง วิตามินซีจากคะน้าจะช่วยให้เนื้อเยื่อทำงานได้เต็มกำลัง คนกินคะน้าจะมีผิวพรรณดีและไม่ค่อยเป็นหวัด แต่ถ้าจะให้ได้วิตามินซีเต็มที่ควรกินคะน้าสด มากกว่าจะไปผัดหรือต้ม ส่วนแคลเซียมจากคะน้าก็เป็นแคลเซี่ยมที่ร่างกายจะดูดซึมได้ดีกว่าผักชนิดอื่น
- “ข้าวโพดฝักอ่อน” ถึงแม้จะมีสารอาหารน้อยเพราะอยู่ในช่วงกำลังเติบโต แต่ก็มีกากใยอาหารซึ่งจะช่วยให้การขับถ่ายดี ทำให้ระบบทางเดินอาหารสะอาดพ้นสารพิษต่างๆ
- “แครอท” เป็นพืชผักที่สมัยนี้นิยมใส่ในอาหารแทบทุกชนิด เพราะนอกจากจะมีสีสันที่ช่วยให้อาหารดูน่ากินแล้ว ยังมีเบต้าแคโรทีนที่กำจัดสารก่อมะเร็งปอดได้อย่างชะงัดอีกด้วย
- “ผักบุ้งจีน” เป็นพืชผักที่มีคุณค่าทางอาหารสูง ประกอบด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย โดยเฉพาะวิตามินเอ ซึ่งเชื่อว่าบำรุงสายตานั้น มีปริมาณสูงมาก นอกจากนั้นยังมีแคลเซี่ยม ฟอสฟอรัส และวิตามินซีเป็นองค์ประกอบสำคัญอีกด้วย
ในการประกอบอาหารเจนั้น เครื่องปรุงรสที่ขึ้นหน้าขึ้นตาก็คือ “ซีอิ๊ว” มีตำนานเล่าขานมาว่า“ซีอิ๊ว” ขวดแรกของโลกเกิดขึ้นในแถบตอนใต้ของจีน เนื่องจากคนส่วนใหญ่นิยมกินอาหารเจ แต่มีข้อจำกัดอยู่ว่าจะไม่บริโภคอาหารที่ปรุงจากเนื้อสัตว์ จึงทำให้ชาวจีนโบราณต้องคิดค้นสูตรการทำเครื่องปรุงรสที่ไม่ใช้เนื้อสัตว์ขึ้นมา แรก ๆ ก็ใช้ผักเป็นวัตถุดิบหมักกับเกลือ จากนั้นก็วิวัฒนาการมาเรื่อย จนกระทั่งได้สูตรถั่วเหลือง เมื่อคิดสูตรการทำ “ซีอิ๊ว” ได้แล้ว ก็ยังถือเป็นเครื่องปรุงรสของหมู่ชนชั้นศักดินาเท่านั้น ภายหลังมีพระชาวญี่ปุ่นเข้าไปศึกษาพุทธศาสนาในจีน แล้วได้นำซีอิ๊ว กับเต้าเจี้ยวจากจีนกลับไปญี่ปุ่น พอถึงญี่ปุ่นชื่อก็เปลี่ยนไปเป็น “โชยุ” (shoyu) โดยเมื่อเข้าไปตอนแรกๆ ก็ยังเป็นเครื่องปรุงรสเฉพาะในหมู่ชนชั้นสูงเหมือนที่จีน คนในตระกูลเท่านั้นจึงจะได้รับการถ่ายทอดสูตรและกระบวนการผลิต จนกระทั่ง อิเอสุ โตกุกาวา ได้สถาปนาตัวเองขึ้นเป็นโชกุนแทนตระกูลโตโยโตมิ เมื่อปี ค.ศ. ๑๕๙๘ ทำให้หัวหน้าตระกูลมากิซึ่งเป็นซามูไรคู่ใจและรับใช้ใกล้ชิดตระกูลโตโยโตมิต้องฆ่าตัวตาย และภรรยากับลูกของเขาต้องลี้ภัยไปอยู่ที่เมืองโนดะนั่นแหละ เป็นเหตุให้นางต้องผลิต โชยุ (shoyu) ออกขายโดยใช้สูตรที่ได้เรียนรู้มาเมื่อครั้งอาศัยร่วมตระกูลโตโยโตมิ นี่เองทำให้โชยุของญี่ปุ่น หรือ ซีอิ๊วของจีนเผยแพร่ออกสู่สาธารณชน โดยถึงแม้ในเวลาที่ผ่านมา กระบวนการผลิตอาจจะพัฒนาขึ้นตามเทคโนโลยีใหม่ๆ แต่ว่าวัตถุดิบหลักก็ยังใช้ถั่วเหลืองอยู่
พืชผักต้องห้าม นอกจากเนื้อสัตว์จะเป็นของต้องห้ามสำหรับการกินเจแล้ว ผัก ๕ ประเภท ได้แก่หอม กระเทียม กุ้ยฉ่าย หลักเกียว และใบยาสูบ ก็ถูกจัดเป็นผักต้องห้ามด้วย เพราะนอกจากจะมีกลิ่นรุนแรงแล้ว ตามหลักเวชศาสตร์และเภสัชศาสตร์ของจีนโบราณยังถือว่ามีพิษทำลายพลังธาตุทั้ง ๕ ในร่างกาย ก็จะเป็นเหตุให้อวัยวะภายในที่สำคัญทำงานไม่ปกติไปด้วย ดังนี้
- หัวหอมทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นต้นหอม ใบหอม หอมแดง หอมขาว และหอมหัวใหญ่ ถือว่าจะทำลายการทำงานของไต และกระทบกระเทือนต่อธาตุน้ำในกาย โดยถึงแม้ว่าหอมแดงจะข่วยขับพยาธิ ขับลมแก้ท้องอืดแน่น แก้อาการบวมน้ำได้ แต่ถ้าบริโภคเป็นประจำหรือมากเกินไปก็จะทำให้หลงลืมง่าย ประสาทเสีย ฟันเสีย มีกลิ่นตัว เลือดน้อยและนัยน์ตาฝ้ามัว
- กระเทียม ทั้งหัว ทั้งต้น ถือว่าจะไปทำลายการทำงานของหัวใจ และกระทบกระเทือนต่อธาตุไฟในกาย แม้ว่ากระเทียมจะมีสารที่ช่วยละลายไขมันในเส้นเลือดได้ แต่กระเทียมก็มีความระคายเคืองสูงสำหรับคนที่เป็นโรคเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร หรือเป็นโรคตับ จึงไม่ควรรับประทานมาก
- กุ้ยฉ่าย ถือว่าจะไปทำลายการทำงานของตับและกระทบกระเทือนต่อธาตุม้ภายในกาย
- หลักเกียว กระเทียมโทนของจีน ถือว่าจะทำลายการทำงานของม้ามและจะกระทบกระเทือนต่อธาตุดินในกาย
- ใบยาสูบ หมายถึงบุหรี่ ยาเส้น ของเสพติดมึนเมา จะทำลายการทำงานของปอดและกระทบกระเทือนต่อธาตุโลหะภายในกาย
ที่มา
- web.ku.ac.th/agri/vetgett/menu.htm
- www.thaihealth.info/samunpai 6.asp.
- https://www.kanchanapisek.or.th/
- เจวิถีอาหารยุคใหม่
ข้อมูลจาก : บทความพิเศษประกอบรายการของสถานีวิทยุ อสมท. เรื่อง "กินเจ-กินผัก" ผลิตโดย งานบริการการผลิต ส่วนสนับสนุนการผลิตวิทยุ ฝ่ายออกอากาศวิทยุกรุงเทพ