วันเข้าพรรษา
ทีมงานทรูปลูกปัญญา | 2009-08-26 17:00:28
วันเข้าพรรษา
ถัดจากวันอาสาฬหบูชา เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาอีกวันหนึ่ง คือ “วันเข้าพรรษา” ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ ๑๑ กรกฎาคม เกิดขึ้นเมื่อครั้งพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ ฤดูฝนหนึ่ง อันเป็นฤดูที่ข้าวกล้าระบัดใบ แม้นักบวชในศาสนาอื่นก็พากันหยุดพัก แต่มีพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนากลุ่มหนึ่งไม่หยุดยั้งการจาริกไป บางครั้งไปเหยียบย่ำข้าวกล้าในนาของชาวนาเสียหายเป็นที่ติเตียน ความทราบถึงพระพุทธเจ้า จึงมีรับสั่งให้ประชุมสงฆ์ ตรัสถามจนได้ความจริงแล้วจึงทรงบัญญัติเรื่องการ “เข้าพรรษา” ไว้
การบัญญัติพระวินัยของพระพุทธเจ้านั้น เป็นไปอย่างมีเหตุผลและเผื่อความจำเป็นไว้เสมอมิได้ทรงบีบคั้นแต่อย่างใด ดังจะเห็นได้จากการกำหนดอธิษฐานอยู่ประจำที่ระยะเวลาสามเดือนหรือ “เข้าพรรษา” นั้นก็ได้แบ่งไว้เป็นสองระยะ ระยะแรกคือระหว่างแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑ เรียกว่า ปุริมพรรษา ถ้าปีไหนมีเดือน ๘ สองหนก็จะเริ่มจำพรรษาในวันแรม ๑ ค่ำเดือน ๘ หลัง ส่วนปัจฉิมพรรษา นั้นมีกำหนดเริ่มในวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๙ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒ ภิกษุส่วนใหญ่จะจำพรรษาในช่วงปุริมพรรษามากกว่าปัจฉิมพรรษา หรือพรรษาหลังที่เป็นข้อยกเว้นไว้สำหรับพระภิกษุอาพาธ หรือมีกิจจำเป็นไม่สามารถจำพรรษาในช่วงปุริมพรรษาได้ นอกจากนั้นยังได้ทรงอนุญาตให้พระภิกษุที่มีเหตุพิเศษที่เรียกว่า สัตตาหกรณียกิจ ซึ่งมีข้อจำเป็นอยู่ ๔ ข้อ ให้ไปค้างคืนที่อื่นคราวละไม่เกิน ๗ วันโดยไม่อาบัติ แม้จะอยู่ระหว่างจำพรรษาก็ตามได้อีกด้วย ซึ่งการที่พระภิกษุอยู่จำพรรษาเป็นจำนวนมากถึงสามเดือนตามพระวินัยนี้ นอกจากจะเป็นโอกาสที่พระภิกษุสงฆ์จะได้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย และประพฤติปฏิบัติธรรมกับพระเถระที่เป็นอุปัชฌายาจารย์อย่างเต็มที่แล้ว ยังก่อให้เกิดผลดีหลายประการต่อสังคมชาวพุทธ เฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยของเรา ดังที่จะยกมาดังนี้
๑. เป็นโอกาสให้พุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่ สำรวจพฤติกรรมของตน และตั้งอธิษฐานจะละ ลด และเลิกในสิ่งไม่ดีทั้งหลายเช่น เลิกดื่มเหล้า เลิกสูบบุหรี่ เลิกพูดจาหยาบคาย เป็นต้น พร้อมกันนั้นก็จะพากันทำบุญตักบาตร รักษาศีล ฟังธรรมตลอดเทศกาลเข้าพรรษา ซึ่งก็มีเสียงเรียกร้องกันว่า ขอให้ประพฤติตนอย่างตอนอยู่ในพรรษาตลอดไป
๒. เกิดประเพณีนิยมส่งลูกหลานเข้าบรรพชา อุปสมบท เพื่อจะได้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ และฝึกฝนตนเอง เมื่อสึกออกมาแล้วก็จะเป็นคนที่มีความพร้อมจะเป็นผู้ใหญ่ที่ดี เป็นผู้ครองเรือนที่ดี
๓. มีการสืบทอดประเพณีที่ดีงาม คือประเพณีถวายผ้าอาบน้ำฝน ซึ่งมีเรื่องเล่าถึงความเป็นมาแต่ครั้งพุทธกาลว่า ครั้งหนึ่ง นางวิสาขา มหาอุบาสิกา ต้องการจะนิมนต์พระภิกษุไปฉันภัตตาหารที่บ้าน จึงให้หญิงรับใช้ไปที่พระวิหารเชตวันเพื่อนิมนต์พระ ปรากฏว่าหญิงรับใช้กลับมารายงานนางวิสาขาว่า ไม่มีพระ เห็นแต่พวกชีเปลือยอาบน้ำฝนอยู่ นางวิสาขารู้ด้วยปัญญาว่าคงเป็นพระภิกษุนั่นเองที่อาบน้ำฝนอยู่ ต่อมานางวิสาขาจึงได้ทูลขอพรจากพระพุทธเจ้า ขอถวายผ้าอาบน้ำฝนแด่พระภิกษุและภิกษุณีเป็นประจำ ซึ่งก็ทรงมีพุทธานุญาต จึงเกิดเป็นประเพณีปฏิบัติสืบต่อกันมา โดยมีความเชื่อในอานิสงส์แห่งการถวายผ้าอาบน้ำฝนว่า คงจะเหมือนกับการถวายผ้าอื่นๆ ตามนัยที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ คือผู้ถวายผ้าแด่พระภิกษุสงฆ์จะเป็นผู้มีผิวพรรณผ่องใส ใจ- กายสะอาด งดงาม และไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ
๔. เกิดประเพณี แห่เทียนพรรษา ในสมัยพุทธกาล ยังไม่มีไฟฟ้าใช้เช่นปัจจุบัน การที่พระภิษุสงฆ์อยู่จำพรรษาเป็นจำนวนมาก และศึกษาพระธรรมวินัย ตลอดจนบำเพ็ญศาสนกิจกันนั้น จำเป็นต้องอาศัยแสงสว่างจากเทียน ชาวบ้านจึงได้ร่วมกันนำเทียนไปถวายพระภิกษุเพื่ออำนวยความสะดวก โดยในช่วงต้นๆ นั้นก็คงจะเป็นการถวายเทียนเล็กๆ แบบธรรมดา ต่อมาจึงวิวัฒนาการขึ้นเรื่อย ๆ นับจากเริ่มมัดเทียนเล็กๆ นั้นรวมกันให้เป็นต้นใหญ่ คล้ายต้นกล้วยหรือลำไม้ไผ่แล้วติดกับฐาน จึงเรียกกันว่าต้นเทียน หรือเทียนพรรษา มาจนกระทั่งมีการประดิษฐ์เป็นรูปต่างๆ ที่มีความหมายเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา และมีการแห่แหนกันเป็นงานบุญที่ยิ่งใหญ่อย่างที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน งานประเพณีแห่เทียนพรรษาถือเป็นงานประเพณีหนึ่งที่ทำให้เห็นความสามัคคี ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของพุทธศาสนิกชนได้เป็นอย่างดี สมควรอย่างยิ่งที่จะได้มีการอนุรักษ์ไว้
กล่าวกันว่าเทียนพรรษาเริ่มมาจากผู้ที่นับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งนับถือวัว ที่เป็นพาหนะของพระอิศวร เมื่อวัวตาย ก็จะนำไขจากวัวมาทำเป็นน้ำมันเพื่อจุดบูชาพระเป็นเจ้าที่ตนเคารพ แต่ ชาวพุทธจะทำเทียนเพื่อบูชาพระรัตนตรัย โดยการนำรังผึ้งร้างมาต้มเอาขี้ผึ้ง แล้วนำมาฟั่นเป็นเทียนเล็กๆ เพื่อจุดบูชาพระ และได้ยึดถือเป็นประเพณีที่จะนำเทียนไปถวายพระภิกษุในช่วงเข้าพรรษาตลอดมา ตามคติความเชื่อที่ว่าการทำบุญด้วยแสงสว่าง จะทำให้เป็นผู้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดดุจดังแสงสว่างของเทียน
๕. เกิดประเพณี “ตักบาตรดอกไม้” การถวายดอกไม้เป็นพุทธบูชานั้น มีตำนานเล่า มาแต่ครั้งพุทธกาลว่า พระเจ้าพิมพิสาร กษัตริย์ผู้ครองกรุงราชคฤห์ โปรดปรานดอกมะลิมาก ทุกๆ วันนายมาลาการจะต้องนำดอกมะลิสดขึ้นถวาย ๘ กำมือ อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่นายมาลาการกำลังเก็บดอกมะลิเพื่อจะนำไปถวายพระเจ้าพิมพิสารอยู่นั้น พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์สาวกได้เสด็จบิณฑบาตรผ่านมา นายมาลาการเห็นพระพุทธเจ้าแล้วเกิดความเลื่อมใส ศรัทธา จึงนำดอกมะลินั้นถวายแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า ข้าวของทุกสิ่งที่พระราชามอบให้ประจำนั้น เป็นเพียงการเลี้ยงชีพในภพนี้เท่านั้น แต่การนำดอกไม้บูชาองค์พระศาสดานับเป็นประโยชน์สุขที่ได้ทั้งภพนี้และภพหน้า ถ้าจะถูกประหารชีวิตเพราะไม่นำดอกมะลิไปถวายพระราชา ตนก็ยอม แต่การณ์ปรากฏว่าเมื่อพระเจ้าพิมพิสารทรงทราบ นอกจากจะไม่ทรงกริ้วแล้ว ยังพระราชทานความดีความชอบเป็นสิ่งของให้จำนวนมาก นายมาลาการจึงมีความสุขสบายตลอดชีวิต จากตำนานนี้คงเป็นที่มาของการถวายดอกไม้เป็นพุทธบูชาสืบต่อกันมา
ประเพณีตักบาตรดอกไม้ในวันเข้าพรรษาคงจะเกิดจากคตินี้ และที่จริงมีหลายวัดที่จัดเป็นงานประเพณี แต่ไม่ค่อยได้มีการประชาสัมพันธ์เลยดูเงียบๆ รู้กันเฉพาะคนอยู่ใกล้ เช่นที่วัดราชบพิธสถิตย์มหาสีมาราม กับวัดบวรนิเวศน์วิหารในกรุงเทพมหานคร แต่ที่มีชื่อเสียงที่สุดคือที่วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรีจัด ซึ่งแต่เดิมก็จัดกันเป็นประเพณีเฉพาะวันเข้าพรรษา แต่ต่อมามีผู้นิยมไปร่วมงานกันมาก มีเรื่องของการท่องเที่ยวเข้าไปผนวกอยู่ด้วยจึงได้ขยายการจัดงานออกไปอีก เป็น ๓ วันด้วยกัน แต่จะว่าไปแล้วที่นี่เขาก็มีความแตกต่างที่เป็นจุดดึงดูดความสนใจได้ อยู่ตรงที่ว่าเขามีต้นไม้อยู่ชนิดหนึ่งที่จะขึ้นงอกงามบริเวณเชิงเขาสุวรรณบรรพต จรดเทือกเขาวง ใกล้รอยพระพุทธบาท ที่จะออกดอกและบานสะพรั่ง สีสันสวยงามแตกต่างกันออกไปในช่วงเข้าพรรษาของทุกปี พอหมดฤดูฝน หมดพรรษา ต้นไม้นี้ก็จะทิ้งใบหมดเหลือแต่เหง้าอยู่ใต้ดิน ชาวบ้านแถวนั้นเรียกต้นไม้นี้ว่า “ ต้นเข้าพรรษา” และเรียกดอกของมันว่า “ดอกเข้าพรรษา” และใช้เป็นดอกไม้สำหรับตักบาตรพระในวันเข้าพรรษามาแต่โบราณ
ดอกเข้าพรรษา มีชื่อทางพฤกษศาสตร์อยู่ในสกุลกลอบบา (Globba) มีลักษณะคล้ายกับต้นกระชาย หรือขมิ้น สูงคืบเศษๆ มักจะขึ้นตามท้องที่ป่าเขาที่มีความชุ่มชื้นค่อนข้างสูง ลำต้นขึ้นเป็นกอ จากหัวหรือเหง้าใต้ดิน ดอกมีขนาดเล็ก ออกเป็นช่อ ส่วนยอดของลำต้นมีหลายสี เช่นขาว เหลือง เหลืองแซมม่วง บางต้นก็มีสีน้ำเงินม่วง มีดอกรองรับในช่อดอก ดูเป็นช่อใหญ่สวยงาม โดยเฉพาะชนิดดอกเหลืองมีกลีบรองสีม่วงนั้น จะสวยสะดุดตาและหายากกว่าสีอื่น ชาวบ้านเรียกดอกรูปแบบนี้ว่าดอกยูงทอง หรือดอกหงส์ทอง แต่โดยทั่วไป ชาวบ้านเขาก็เรียกดอกเข้าพรรษาในอีกชื่อหนึ่งว่าดอกหงส์เหิรอยู่แล้ว เพราะดอกและเกสรมีลักษณะเหมือนตัวหงส์กำลังจะบิน แต่นี่เป็นการเรียกขานตามแบบชาวสระบุรีเท่านั้น เพราะถ้าต่างถิ่นออกไป “ดอกเข้าพรรษา” หรือ “หงส์เหิร” ของชาวสระบุรีก็จะมีชื่อเรียกที่ต่างออกไปตามท้องถิ่นเช่น ที่จังหวัดตากจะเรียกว่ากล้วยจ๊ะก่า ลำพูนจะเรียก กล้วยจ๊ะก่าหลวง เชียงใหม่เรียกกล้วยเครือคำ พิษณุโลกเรียกก้ามปู แต่ภาคกลางเรียกไม่ค่อยเพราะเลยว่า ขมิ้นผี หรือกระทือลิง กรณีนี้ขอเรียกตามชาวสระบุรีดีกว่า
ที่มา
- ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
- Travel - Manager online
- นิตยสารกุลสตรี ก.ค. ๔๘
ข้อมูลจาก : บทความพิเศษประกอบรายการของสถานีวิทยุ อสมท. เรื่อง "วันเข้าพรรษา" ผลิตโดย งานบริการการผลิต ส่วนสนับสนุนการผลิตวิทยุ ฝ่ายออกอากาศวิทยุกรุงเทพ