ประเพณีลอยกระทง
ทีมงานทรูปลูกปัญญา | 2009-08-26 16:34:19
ประเพณีลอยกระทง
งานประเพณีลอยกระทงกำลังจะมาถึงในวันที่ 16 นี้ (16 พ.ย.48) จะมาเพิ่มเติมความสุขสนุกสนานให้กับผู้คนในสังคมลุ่มน้ำเป็นงานสุดท้ายของปี เพราะหลังจากนั้นน้ำจะเริ่มลด และคนส่วนใหญ่ซึ่งมีอาชีพทางกสิกรรมก็จะต้องกลับไปทุ่มเทแรงกาย – แรงใจให้กับงานในเรือก สวน ไร่ นา ต่อไปเป็นวัฏจักร
“ลอยกระทง” เป็นประเพณีที่มีมาตั้งแต่โบราณกาล ประเทศเพื่อนบ้านข้างเคียงอย่างจีน อินเดีย พม่า ก็มีประเพณีนี้ สำหรับเมืองไทยเราเท่าที่ปรากฏหลักฐานก็ว่ามีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นราชธานีสืบเนื่องมากรุงศรีอยุธยา จนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ เพียงแต่ว่าในแต่ละยุคสมัยแต่ละภูมิภาคอาจจะมีชื่อเรียก หรือมีรูปแบบพิธีกรรมที่ต่างกันไปบ้าง ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาของวัฒนธรรมประเพณีที่มีการสืบทอดมายาวนาน ย่อมมีการดัดแปลงแก้ไขไปตามสภาพสังคมขณะนั้นไม่มากก็น้อย สำหรับที่มาของประเพณีลอยกระทงบ้านเรานั้นสันนิษฐานกันว่าได้มาจากอินเดียโดยความเชื่อในลัทธิพราหมณ์และศาสนาพุทธ แล้วคติความเชื่อนี้ยังมีความหลากหลาย สามารถแยกออกเป็นความเชื่อใหญ่ ๆ ได้ถึง 10 อย่างด้วยกัน ได้แก่
1. เป็นการลอยบาป
2. เพื่อบูชาและขอขมาพระแม่คงคา
3. เพื่อบูชารอยพระพุทธบาท, เจดีย์จุฬามณีกับบูชาพระนารายณ์
4. ลอยสิ่งของให้วิญญาณและเล่นสนุก
5. ลอยเพื่อให้พบกันชาติหน้า
6. ลอยเพื่อบูชาพระอุปคุต
7. ส่งน้ำ อันเป็นพิธีของเขมรโบราณ
8. บูชาท้าวผกาพรหม
9. มาจากพิธีจองเปรียง
10. รับเสด็จพระพุทธเจ้ากลับจากเทวโลก
ประเพณีลอยกระทงจะเกิดขึ้นโดยความเชื่อใดก็ตาม สังคมย่อมได้รับประโยชน์มหาศาล เพราะนอกจากผู้คนจะได้รับความสนุกสนานรื่นเริง เกิดความสามัคคีในหมู่คณะแล้ว ยังจะก่อให้เกิดอุปนิสัย “รู้คุณ - รู้ค่า” ของสิ่งที่มีอุปการะต่อตน ไม่ละเมิดทำลายให้เสียหายอีกด้วย ในกรณีนี้ได้แก่ การบำรุงรักษาแม่น้ำลำคลองให้อยู่ในสภาพดี ไม่ทิ้งขยะสิ่งปฏิกูลลงไปทำให้เกิดความสกปรกหรือตื้นเขิน เมื่อจะลอยกระทงก็เลือกใช้วัสดุธรรมชาติที่ย่อยสลายง่าย แม่น้ำลำคลองจะได้อยู่ยั่งยืนตลอดไป
ได้มีผู้รู้ให้ข้อแนะนำสำหรับพุทธศาสนิกชนได้พิจารณาข้อธรรมะจากน้ำแล้วนำไปเป็นแนวประพฤติปฏิบัติตนในชีวิตประจำวันได้อย่างน่าสนใจถึง 6 ประการด้วยกัน ได้แก่
1. ให้ดูความอ่อนของน้ำ แต่มีอานุภาพทำลายของแข็ง เช่น น้ำที่หยดลงหินทุกวันสามารถทำให้หินกร่อนได้ เปรียบกับความสุภาพอ่อนน้อมที่สามารถจะทำให้หลายสิ่งหลายอย่างอันเป็นเรื่องที่ยากสำเร็จลงได้โดยง่าย
2. ให้ดูการรวมตัวของน้ำ แม้จะใช้มีดฟัน ใช้ขวานถาก น้ำจะมีรอยแยกเพียงนิดเดียวแล้วกลับรวมตัวกันใหม่ ไม่มีร่องรอยให้เห็นการแยกตัวด้วยซ้ำ เปรียบได้กับพลังความสามัคคีความพร้อมเพรียงของหมู่คณะ
3. ให้ดูความชุ่มเย็นอันเป็นเอกลักษณ์ของน้ำ ความชุ่มเย็นเป็นปัจจัยให้ทุกชีวิตในโลกมีความสุขสงล เปรียบกับข้อธรรมก็คือความเมตตาต่อกัน ความมีไมตรีต่อกัน ไม่เบียดเบียนข่มเหงกัน
4. ให้ดูว่าความชุ่มเย็นของน้ำนั้น ใครก็ตามที่ได้สัมผัส ย่อมได้รับความชุ่มเย็นเหมือนกันหมด ไม่เลือกว่าคน ๆ นั้นจะมีฐานะอย่างไร นับเป็นความเที่ยง-ตรงยุติธรรม
5. ดูจากคุณสมบัติที่เป็นตัวผสมผสานปูน อิฐ หิน ดิน ทราย ซึ่งเป็นของแข็งให้รวมตัวยึดกันได้อย่างสมดุล เกิดเป็นสิ่งก่อสร้างที่มั่นคง แข็งแรง ถ้าขาดน้ำ สรรพสิ่งเหล่านั้นไม่สามารถจะรวมตัวกันได้เลย เปรียบได้กับผู้คนที่อยู่ร่วมกันก็ต้องประสานประโยชน์กันเพื่อให้เกิดความสุขและความมั่นคง
6. ให้ดูความสามารถในการปรับตัวของน้ำ ไม่ว่าน้ำจะอยู่ในที่ใด แม่น้ำ ลำคลอง บึงหรือภาชนะรูปทรงใด น้ำก็จะมีรูปทรงไปตามสิ่งที่รองรับนั้น
เหมือนจะให้คติกับผู้คนว่าถ้าต้องการจะเข้ากับสังคมที่อยู่อย่างกลมกลืน ก็จะต้องปรับตัวให้เข้ากับสังคมนึ้นให้ได้ เหมือนสภาพของน้ำกับสิ่งที่รองรับ คำดังเพยของเราแต่โบราณที่มีอยู่ว่า “เข้าเมืองตาหลิ่ว ก็ต้องหลิ่วตาตาม”
ประเพณีลอยกระทรงมีคุณค่าหลายประการอย่างที่กล่าวมาแล้ว จึงสมควรที่ทุกคนจะได้รักษาประเพณีอันดีงามนี้ไว้อย่าให้ผันแปรเป็นอื่น จะได้สืบทอดเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติตลอดไป
เรียบเรียงจาก
- วารสารวัฒนธรรมไทย ต.ค.– พ.ย.2544
- อยู่อย่างไทยของคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ : 2528 – 2529
- วารสารเพื่อการเผยแพร่ของ กรป.กลาง
- บทความของนายเสนาะ ผดุงฉัตร : สายตรงศาสนา : 2547
ตำนานที่เกี่ยวข้อง
- พระคงคาเป็นพระธิดาท้าวหิมวัตร่วมพระชนกกับพระอุมา สถิตย์อยู่ในลำน้ำสวรรค์ เป็นผู้ชอบความบริสุทธิ์ เมื่อท้าวสัคระตั้งพิธีอัศวเมธ (ฆ่าม้าบูชายัญ) ได้อัญเชิญพระคงคาจากสวรรค์ เพื่อชำระพระอังคาร (เถ้าถ่าน) ของพระโอรสร้อยองค์ ที่สิ้นพระชนม์ไป พระเทวีรับเชิญได้ทรงปล่อยน้ำจากสวรรค์ ป่ายอดเขาหิมาลัยลงมาโลกมนุษย์ เสียงโครมครืนตลอด 7 ปี 7 เดือน พระอิศวรเกรงน้ำจะท่วมโลกมนุษย์ จึงมาคลี่พระเมาลีออกเป็นเพิงรับน้ำไว้ พระคงคาได้เสด็จไหลเวียนอยู่บนพระเศียรพระอิศวรนับพัน ๆ ปี พระอิศวรจึงค่อยระบายน้ำจากเพิงพระเกศาลงสู่โลกมนุษย์ทีละน้อย ๆ ตั้งแต่นั้นพระคงคาจึงสถิตย์อยู่ในแม่น้ำในมนุษยโลก เป็นเทวีประจำน่านน้ำและทะเลหลวง มีภูตพรายเป็นบริวาร ชาวเรือจะนับถือมาก เริ่มคารวะด้วยดอกไม้ ธูปเทียน บูชา หรือ กักน้ำสาดหัวเรือแล้วกล่าว คำว่า “แม่ย่านาง ขอจงช่วยคุ้มครองรักษาด้วย” เป็นต้น ถือว่าเป็นสวัสดิมงคลก่อนออกเรือ โดยปรกติพระคงคาจะสถิตย์ซ่อนรูปอันสวยสดงดงามอยู่น้ำ นาน ๆ นับพันปีจะปรากฎทิพยรูปสักครั้ง ใครได้เห็นถือเป็นขวัญตา และด้วยอำนาจทิพยรูปที่ปรากฎ อาจทำให้คนที่อยู่ใกล้ได้เห็นขุมทรัพย์ต่าง ๆ ในน่านน้ำได้
- มูลเหตุการลอยกระทงของไทยมีนิยายชาวบ้านเล่ากันมาว่าเมื่อสมัยดึกดำบรรพ์มีกาเผือกสองตัวผัวเมียทำรังอยู่บนต้นไม้ใกล้ฝั่งแม่น้ำในป่าหิมพานต์ วันหนึ่งกาตัวผู้บินออกจาก รังไปหากินแล้วหลงทางหายสาปสูญไป ต่อมาเกิดพายุใหญ่พัดรังนกกระจัดกระจายไข่ในรัง 5 ฟองก็หายไป แม่การ้องไห้จนขาดใจ ตายแล้วไปเกิดใหม่บนพรหมโลก ชื่อท้าวผกาพรหม ไข่ทั้ง 5 ฟองถูกลมพัดไปในน้ำแล้วคลื่นซัดไปติดตลิ่งแต่ไม่ได้รวมอยู่ที่เดียวกันมี แม่ไก่, แม่นาค, แม่เต่า, แม่โค และแม่ราชสีห์เก็บไป ปรากฎว่าเมื่อถึงกำหนดไข่ทั้ง 5 ฟองกลับแตกออกมาเป็นมนุษย์ แม่สัตว์ทั้ง 5 นั้นก็เลี้ยงดูจนเติบโต มนุษย์ทั้ง 5 นั้น เห็นโทษของการเป็นฆราวาสจึงต่างก็ลาแม่ของตนไปบวชเป็นฤาษี เจริญสมาธิอยู่ในป่าหิมพานต์ วันหนึ่งฤาษีทั้ง 5 เผอิญได้พบกันต่างถามนามวงศ์และมารดาของกันและกันต่างองค์ก็บอกแม่นั้นไม่มี มีแต่แม่ที่เลี้ยงมาเป็น ไก่ นาค เต่า โค และ ราชสีห์ ก็พร้อมใจกันตั้งสัตย์อธิฐาน ร้อนถึงท้าวผกาพรหม แม่กาเผือกที่ตายไปนั้นมาเล่าเรื่องเดิมให้ฟัง แล้วก็ว่าถ้าคิดถึงแม่ วันเพ็ญเดือน 11 หรือเดือน 12 ให้เอาด้ายดิบผูกไม้เป็นตีนกาปักธูปเทียน บูชา ลอยกระทงในแม่น้ำแล้วก็ลากลับไป เราก็ลอยกระทงเพื่อบูชาท้าวผกาพรหม สืบมาจนทุกวันนี้
- จีนเชื่อว่าลอยกระทง เพื่อเซ่นวิญญาณขุนนางผู้ซื่อสัตย์และเป็นที่รักของราษฎรที่โดนน้ำตาย เนื่องจากพระเจ้าแผ่นดินไม่สนพระทัยต่อคำแนะนำของตน พม่ามีเรื่องเล่าว่าเมื่อครั้งพระเจ้าอโศกมหาราชจะทรงสร้างเจดีย์จำนวน 84,000 องค์ ก็มีพระยามารมาคอยขัดขวาง พระอุปคุตได้ไปขอร้องพระยานาคเมืองบาดาลมาปราบพระยามารได้ ทำให้พระเจ้าอโศกมหาราชทรงสร้างเจดีย์ได้สำเร็จสมประสงค์ เขาจึงลอยกระทงเพื่อบูชาคุณพระยานาค
เรียบเรียงจาก
- วารสารเพื่อการเผยแพร่ของ กรป.กลาง เรื่องประเพณีลอยโขมดหรือลอยกระทง
- วรรณคดีไทยของนายหรีด เรืองฤทธิ์
เรื่องควรรู้เกี่ยวกับนางนพมาศ กับกระทงรูปดอกบัว
เมื่อปี 2545 , 2546 ได้มีนักวิชาการและสื่อสิ่งพิมพ์ที่ยอมรับกันทั่วไปว่ารอบรู้ในเรื่องของศิลปวัฒน-ธรรมอย่างดีได้เผยแพร่ข้อมูลใหม่อย่างที่สอดคล้องกันว่าหนังสือเรื่อง นางนพมาศหรือตำรับท้าวศรีจุฬา-ลักษณ์นี้เชื่อกันว่าเป็นวรรณกรรมยุคสุโขทัยอันซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการประดิษฐ์กระทงรูปดอกบัวของนางนพมาศ นั้น จากการวิเคราะห์ของนักวิชาการชั้นแนวหน้ายุคหลังเชื่อว่าเป็นวรรณคดีที่แต่งขึ้นสมัยรัชกาลที่ 3 กรุงรัตนโกสินทร์นี้เอง โดยนอกจากจะมีเอกสารยืนยันต่าง ๆ กันแล้วยังอ้างถึงข้อความที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงมีถึงพระยาอนุมาราชชน เกี่ยวกับเรื่องเดียวกันนี้ด้วย ดังนั้น การนำเสนอเรื่องราวของนางนพมาศและกระทงรูปดอกบัว ในเทศกาลลอยกระทง จึงควรระมัดระวัง
ที่มา
- เอกสารประกอบคำบรรยายของนายตรงใจ หุตางกูร นักวิชาการสำนักวิจัยและสนับสนุนการวิจัย ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ในการแสดงทางวัฒนธรรมครั้งที่ 1 ณ.ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธรฯ : 15 พ.ย. 2545
- อรัฏรยา หุ่นเจริญ : สกู๊ป-สารคดี ประชาชื่น : มติชน : 7 พ.ย. 2546
- พระราชพิธีลอยกระทง : จุลลดา ภักดีภูมินทร์ : สกุลไทย
ข้อมูลจาก : บทความพิเศษ ประกอบรายการของสถานีวิทยุ อสมท. เรื่อง "ประเพณีลอยกระทง" ผลิตโดย ส่วนสนับสนุนการผลิตวิทยุ งานบริการการผลิต ฝ่ายออกอากาศวิทยุ กรุงเทพ