24 กันยายน วันมหิดล
ทีมงานทรูปลูกปัญญา | 2015-09-14 15:55:32
พระราชประวัติ
สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ทรงเป็นพระราชโอรสใน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมาหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวีพระพันวัสสาอัยยิการเจ้า
ทรงพระราชสมภพเมื่อวันศุกร์ เดือนยี่ ปีเถาะ ขึ้น 3 ค่ำ ตรงกับวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2434 (ก่อน พ.ศ. 2484 วันขึ้นปีใหม่ของไทยตรงกับวันที่ 1 เม.ย. ดังนั้น เดือนมกราคม พ.ศ. 2434 ซึ่งเป็นเดือนพระราชสมภพยังคงนับตามปฏิทินเก่า เมื่อเทียบกับปฏิทินสากลที่ใช้ในปัจจุบันจึงตรงกับ เดือนมกราคม พ.ศ. 2435)
เมื่อทรงพระเยาว์ทรงบรรชาเป็นสามเณร ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2447 ทรงศึกษา ณ โรงเรียนราชกุมาร ในพระบรมมหาราชวัง และทรงเสด็จไปศึกษาต่อต่างประเทศที่ "โรงเรียน แฮร์โรว์" ในประเทศอังกฤษ และวิชาการทหารเรือในประเทศเยอรมัน เมื่อจบการศึกษาได้รับพระราชอิสริยยศเป็น นายเรือตรีแห่งราชนาวีเยอรมัน และนายเรือตรีแห่งราชนาวีสยาม แล้วเสด็จกลับมาทรงรับราชการในราชนาวีสยามอยู่ระยะหนึ่ง ทรงลาออกจากกองทัพเรือเมื่อ พ.ศ. 2459 แล้วเสด็จไปศึกษาวิชาการสาธารณสุขและวิชาทางการแพทย์ ณ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา ทรงสอบได้ประกาศนียบัตรการสาธารณสุข และ ปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิตชั้น Cum Laude และทรงได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสมาคมเกียรตินิยมทางการศึกษาแพทย์ อัลฟา โอเมกา อัลฟา ด้วย
ตำแหน่งราชการ ทรงเป็นอธิบดีกรมมหาวิทยาลัย กระทรวงศึกษาธิการ ข้าหลวงตรวจการศึกษาทั่วไป นายกกรรมการคณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาล กรรมการสภากาชาดสยาม ประธานกรรมการอำนวยการวชิรพยาบาล พระอาจารย์พิเศษคณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ และแพทย์ประจำโรงพยาบาลแมคคอร์มิค
ทรงอภิเษกสมรสกับ นางสาวสังวาลย์ ตะละภัฏ (สมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี) เมื่อวันที่ 10 กันยายน พ.ศ.2463 ณ วังสระปทุม มีพระราชโอรส และพระธิดา รวม 3 พระองค์ ได้แก่
1. สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ประสูติ ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2466
2. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล (รัชการที่ 8 ) ทรงพระราชสมภพ ณ เมืองไฮเดลเบิร์ก ประเทศเยอรมันนี เมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ.2468
3. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุยเดช (รัชการที่ 9) ทรงพระราชสมภพ ณ เมืองแคมปริดจ์ รัฐแมสซาจูเซตต์ สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2470
พระราชกรณียกิจ
พระราชกรณียกิจด้านการแพทย์
ทรงปรับปรุงการศึกษาแพทย์ พยาบาล และปรับปรุง ร.พ.ศิริราช ทรงเป็นผู้แทนรัฐบาลสยามทำความตกลงกับมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ ซึ่งมูลนิธิได้ให้ความช่วยเหลือโดยส่งศาสตราจารย์มาจัดหลักสูตรและปรับปรุงการสอนให้ทุนอาจารย์ไทยไปศึกษาต่อในต่างประเทศ ส่งอาจารย์พยาบาลเข้ามาช่วยปรับปรุงหลักสูตรและช่วยเรื่องการสอนในโรงเรียนพยาบาล
ทรงพระราชทานทุนเพื่อ
-สนับสนุนการศึกษาของแพทย์และพยาบาล
-สร้าง "ตึกมหิดลบำเพ็ญ" "ตึกอำนวยการ"
-ซื้อโรงเรียนกุลสตรีวังหลัง ทำเป็นที่อยู่ที่เรียนของพยาบาล
-จ้างพยาบาลต่างประเทศมาช่วยสอนและปรับปรุงโรงเรียนพยาบาล
-สนับสนุนการสอนและค้นคว้า
รวมทั้งสิ้น 994,876.08 บาท(ไม่รวมทุนพระราชทานส่วนพระองค์แค่แพทย์และพยาบาล) อีกทั้งยังทรงขอพระราชทานทุนจาก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงค์ เืพื่อเป็นทุนสำหรับ รพ. ศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล อีกทั้งยังทรงปรับปรุงวชิรพยาบาล รพ.แมคคอร์มิค และ รพ.สงขลา
พระราชกรณียกิจด้านสาธารณสุข
ทรงร่วมในการพิจารณา พระราชบัญญัติการแพทย์ พ.ศ. 2466 โดยทรงแก้ไขข้อขัดข้องและความขัดแย้งต่าง ๆ จนลุล่วงไปด้วยดี ทำให้กฏหมายฉบับนี้เป็น "กฏหมายทางการแพทย์ฉบับแรก" ที่ประกาศใช้ ทรงส่งเสริมการมารดาและทารกสงเคราะห์ และทรงช่วยอบรมแพทย์สาธารณสุขมณฑล
พระราชกรณียกิจทางวิชาการ
ทรงดำริจะสร้างโรงเรียนสาธารณสุข พระราชทานทุนการศึกษาแก่ทันตแพทย์ การประมง จ้างครูต่างประเทศ ทรงวางรากฐานการศึกษาทางวิทยาศาสตร์การแพทย์และวิทยาศาสตร์พื้นฐาน โดยสร้างคณาจารย์วิทยาศาสตร์พื้นฐานรุ่นแรกของประเทศ การวางหลักสูตรวิทยาศาสตร์ และแพทย์ การก่อสร้างอาคารและจัดหาวัสดุ อุปกรณ์การค้นคว้าวิจัย การจัดหาหอพักนักศึกษา เป็นต้น
นอกจากนี้ยังทรงสร้างรากฐานการวิทยาศาสตร์แห่งชาติ โดยพระราชทานทุนส่งนักเรียนไปศึกษาวิชาฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา ณ ประเทศอังกฤษ ผลิตบัณฑิตเป็นครูสอนวิทยาศาสตร์ในมหาวิทยาลัย และในโรงเรียนทั่วประเทศ รวมทั้งบัณฑิตในวิทยาศาสตร์ประยุกต์ อาทิ ทันตแพทย์ เภสัชกร วิศวกร สถาปนิก บุคลากรงานสาธารณสุข ฯลฯ
สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ทรงเป็นปูชนียบุคคลของชาติที่พระเมตตาสถิตย์อยู่ในใจปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า สมควรที่โลกจะรับรู้และเทิดพระเกียรติพระองค์เป็นบุคคลสำคัญในการพัฒนาประวัติศาสตร์ทางการศึกษา วิทยาศาสตร์ การแพทย์ การพยาบาล และการสาธารณสุขให้ขจรกำจายไปทั่วโลก สมดังสมัญญานามว่าทรงเป็น "พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย"
ประวัติวันมหิดล
วันที่ 24 กันยายน เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก พระผู้ได้รับการถวายพระสมัญญาภิไธยจากแพทย์และประชาชนทั่วไปว่า "พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย" คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลได้ขนานนาม วันอันเป็นที่ระลึกสำคัญนี้ว่า "วันมหิดล" เพื่อเป็นการถวายสักการะ และแสดงกตัญญูกตเวทีต่อพระองค์ท่าน เพราะพระราชกรณียกิจที่ได้ทรงบำเพ็ญแก่วงการแพทย์ และการสาธารณสุข ของประเทศไทยตลอดระยะเวลา 12 ปีนั้นได้เสริมสร้างความเป็นปึกแผ่นให้แก่โรงเรียนแพทย์ และพัฒนาการเรียนการสอนตลอดจนการผลิตแพทย์ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพอันเป็นการวางรากฐานแก่การแพทย์ และการสาธารณสุขให้เจริญพัฒนาก้าวหน้าทัดเทียมอารยะประเทศ ในกาลต่อมา
พิธีวันมหิดลเริ่มโดยสโมสรนักศึกษาแพทย์ศิริราช ภายหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จฯทรงเปิด พระบรมรูปสมเด็จพระราชบิดา เมื่อวันที่ 27 เมษายน พ.ศ.2493 แล้ว ในวันที่ 24 กันยายน ปีเดียวกัน สโมสรนักศึกษาแพทย์ศิริราช และนักศึกษาพยาบาล โดยการนำของ นายบุญเริ่ม สิงหเนตร นายกสโมสรนักศึกษาแพทย์ และ นางสาวชายัญ ปรักกะมะกุล หัวหน้านักศึกษาพยาบาล นำนักศึกษาแพทย์และนักศึกษาพยาบาลตั้งแถวตามถนนจักรพงษ์ หน้าพระบรมรูปสมเด็จพระราชบิดา จากนั้นหัวหน้านักศึกษาวางพวงมาลาแล้วผู้แทนนักศึกษาอ่านฉันท์ ทูลกระหม่อมสดุดีอศิรวาท ซึ่งประพันธ์โดย นายภูเก็ต วาจานนท์ หลังจากนั้น ศ.นพ.สุด แสงวิเชียร และ ศ.นพ.เติม บุนนาค วางพวงมาลาของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
ในเวลาต่อมาก็มีงานอื่น ๆ ประกอบอีก เช่น ระยะแรกมีการออกรายการสดุดีสมเด็จพระบรมราชชนกทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย โดยนักศึกษาแพทย์และแพทยสมาคมแห่งประเทศไทย มีการทำงานโยธาในวันมหิดล ต่อมาเมื่อมีโทรทัศน์ ก็เริ่มจัดรายการ โทรทัศน์วันมหิดล
ความเป็นมาธงวันมหิดล
เมื่อ พ.ศ.2503 ศ.นพ.กษาณ จาติกวนิช ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช ได้เสนอให้ศิริราชมีการจัดหน่ายธง "วันมหิดล" เพื่อให้ประชาชนทุกเศรษฐานะมีส่วนเกื้อกูลผู้ป่วยยากไร้ของ โรงพยาบาลศิริราช ในปีแรกมีการจำหน่ายธงขนาดกลาง ราคา 10 บาท และธงเล็กทำด้วยริบบิ้น ราคา 1 บาท นักศึกษาทุกหมู่เหล่าในวิทยาเขตศิริราช ได้ช่วยกันออกไปจำหน่าย ซึ่งรายได้ทั้งหมดนำไปจัดซื้ออุปกรณ์ การรักษาพยาบาลและเครื่องอำนวยความสุขแก่ผู้ป่วยยากไร้
ใน พ.ศ. 2520 การจำหน่ายธงได้ผลดีเกิดคาด ธงไม่พอสำหรับวันออกรับบริจาคครั้งใหญ่ "กลุ่มอาสามหาวิทยาลัยมหิดล" ซึ่งประกอบด้วย นักศึกษาจากทุกคณะ และทุกวิทยาเขต จึงอาสาทำธงมาจนถึงทุกวันนี้
ปัจจุบัน กิจกรรมการทำธงวันมหิดลเพื่อมอบแก่ผู้บริจาคช่วยผู้ป่วยมีประชาชนหลายหมู่เหล่ามาร่วมบริจาคตามศรัทธา นับเป็นการปลูกฝังนิสัยการเป็นผู้ให้และผู้เสียสละให้แก่นักศึกษา ทั้งยังเป็นกิจกรรมที่เสริมสร้างพลังสามัคคี และพลังกตัญญูกตเวทีในหมู่ประชากรไทยอีกด้วย
ที่มา https://www1.si.mahidol.ac.th/mahidolday/