นักเทคโนโลยีไทย

หน้าฝนปีนี้ฝนตกชุกเป็นพิเศษ บางคนอาจไม่ชอบ แต่เกษตรกรยินดีเพราะเป็นฤดูกาลของการปลูกข้าวและอ้อยซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ พืชทั้งสองต้องการน้ำมากโดยเฉพาะอ้อยซึ่งปัจจุบันสามารถปลูกได้เกือบทุกภาคของประเทศ

อ้อยนั้นนอกจากจะเป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตน้ำตาลเพื่อบริโภคแล้ว ยังเป็นพืชเศรษฐกิจด้านพลังงานที่สำคัญเพราะใช้ในการผลิตเอทานอลเพื่อเป็นเชื้อเพลิงในรถยนต์ ตัวอย่างที่รู้จักกันดีคือน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ซึ่งใช้ส่วนผสมระหว่างน้ำมันและเอทานอลในอัตราของน้ำมัน 9 ส่วนต่อเอทานอล 1 ส่วน สามารถใช้ทดแทนน้ำมันเบนซินได้

การปลูกและเก็บเกี่ยวอ้อยจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเกษตรกร ผมจึงอยากแนะนำนักเทคโนโลยีรุ่นใหม่ซึ่งหลายคนอาจไม่รู้จัก แต่ความสามารถนั้นล้นพ้นโดยเฉพาะการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นในการคิดประดิษฐ์อุปกรณ์เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกอ้อย ผู้นั้นคือ อาจารย์ทนงศักดิ์ มูลตรี อาจารย์ทนงศักด์เป็นชาวขอนแก่น จบปริญญาตรีจากสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน ปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ปัจจุบันดำรงตำแหน่งอาจารย์ สังกัดภาควิชาเทคโนโลยีการอาหารและโภชนศาสตร์ คณะเทคโนโลยีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม

โดยทั่วไป เกษตรกรตัดอ้อยด้วยแรงงานคน จึงทำได้ช้าและต้องใช้คนจำนวนมาก เมื่อถึงฤดูกาลผลิตปัญหาการขาดแคลนแรงงานก็เกิดขึ้น เจ้าของไร่แก้ปัญหาด้วยการจ่ายเงินค่าจ้างข้ามปีให้ก่อนเพื่อจูงใจและซื้อใจคนงาน แต่ก็เป็นความเสี่ยงว่าเงินอาจสูญหาย ขณะที่รถตัดอ้อยสามารถช่วยตัดและแยกใบอ้อยได้เร็ว แต่รถตัดอ้อยขนาดใหญ่นำเข้าจากต่างประเทศมีราคาแพงเป็นสิบล้าน

ด้วยเหตุนี้ อ.ทนงศักดิ์ จึงคิดค้นเครื่องมือทุ่นแรงให้ชาวไร่ โดยดัดแปลงรถไถนาเป็น “รถตัดอ้อยเดินตาม” อ.ทนงศักดิ์คิดค่าดัดแปลงรถไถนาเป็นรถตัดอ้อยสนนราคา 60,000 บาท แต่หากไม่มีรถ ราคาจะอยู่ที่ 100,000 บาท หากเป็นรถตัดอ้อยแบบเดินตามขนาดใหญ่หรือแบบนั่ง ราคาติดตั้งจะอยู่ที่ 350,000 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ถูกกว่ารถนำเข้าหลายเท่าตัว ขณะที่ประสิทธิภาพใกล้เคียงไม่แพ้กัน

ผลงาน “รถตัดอ้อยเดินตาม” ได้รับการจดสิทธิบัตรว่าเป็นนวัตกรรมที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดการปนเปื้อนของใบอ้อยกับต้นอ้อย สามารถตัดอ้อยได้วันละ 60 ตันต่อวัน ช่วยลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายของเกษตรกรที่ปลูกอ้อยอย่างมาก เนื่องจากปัจจุบันค่าจ้างตัดอ้อยอยู่ที่ประมาณ 1,250 บาทต่อไร่ หากทำงานตลอดฤดูเก็บเกี่ยว 150 วันคิดเป็น 750  ไร่ ถ้าใช้รถตัดอ้อยนี้ก็สามารถคำนวณค่าใช้จ่ายที่ประหยัดตลอดฤดูได้ประมาณ 937,500 บาทต่อฤดู ลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานได้ 50 คนต่อวัน สามารถลดแรงงานที่ใช้ในการตัดอ้อยได้ 7,500 คนต่อฤดู รวมทั้งยังช่วยลดมลภาวะอากาศเป็นพิษจากการเผาอ้อยได้อีกด้วย

อ.ทนงศักดิ์ยังสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อการเกษตรมากมาย อาทิ เครื่องเพิ่มออกซิเจนในน้ำ กังหันลมผลิตกระแสไฟฟ้า เครื่องเผาข้าวหลาม เครื่องบ่มเชื้อแบบประหยัดพลังงาน เครื่องเพาะเมล็ดพืช เครื่องสีข้าวกล้องขนาดเล็ก เครื่องทำน้ำร้อน-น้ำเย็นอัตโนมัติ เครื่องฆ่าเชื้อบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น ด้วยผลงานมากมายข้างต้น มูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพระบรมราชูปถัมภ์จึงมอบรางวัลนักเทคโนโลยีรุ่นใหม่ประจำปี 2549 ให้กับ อ.ทนงศักดิ์ นอกจากนี้มหาวิทยาลัยมหาสารคามยังมอบรางวัลเชิดชูเกียรติเป็นผู้ให้บริการวิชาการดีเด่น ประจำปี 2553 อีกด้วย

การคิดและสร้างสรรค์นวัตกรรมจากภูมิปัญญาท้องถิ่นทำให้ช่วยเกษตรกรลดต้นทุนและช่วยเหลือดุลการค้า อ.ทนงศักดิ์ มูลตรี เป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับนักเทคโนโลยีรุ่นใหม่ที่สามารถเจริญรอยตามได้ในอนาคตครับ