รู้รอบโลก ตอน Election อเมริกันสไตล์
ทีมงานทรูปลูกปัญญา | 2015-01-07 15:09:04
เรื่อง: สิรินทร์ จ่างรัตศศพินทุ ภาพประกอบ: อารัมภ์พร เอี่ยมวุฒิ
ข่าวต่างประเทศที่ได้รับการนำเสนอบ่อยที่สุดในช่วงเดือนที่ผ่านมา หนีไม่พ้นข่าวการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ทุกประเทศต่างจับตามองว่าคนที่จะมาคุมบังเหียนประเทศมหาอำนาจคนใหม่จะเป็นใคร สังกัดพรรคการเมืองไหน แต่กว่าจะได้ประธานาธิบดีซึ่งเสียงของเขาจะมีพลังแผ่อิทธิพลไปทั่วโลก สหรัฐอเมริกาใช้ระบบการเลือกตั้งที่มีความเข้มข้น ซับซ้อน ไม่เหมือนใคร เพื่อเลือกผู้นำของเขาอย่างสมศักดิ์ศรีที่สุด
วันเลือกตั้งทั่วไป (Election Day) ของสหรัฐฯ จะมีขึ้นทุกสี่ปีในวันอังคารถัดจากวันจันทร์แรกของเดือนพฤศจิกายน ผู้มีสิทธิ์ออกเสียงชาวอเมริกันจะเลือกประธานาธิบดีแบบทางอ้อม ผ่าน “คณะผู้เลือกตั้ง” (Electoral College) กล่าวคือ ผู้สมัครที่พลเมืองสหรัฐฯ ลงคะแนนเสียงเลือกในวันเลือกตั้ง จริงๆ แล้วเป็นกลุ่มคณะผู้เลือกตั้งที่ถูกแต่งตั้งขึ้นมาจากพรรคการเมืองต่างๆ ซึ่งคณะผู้เลือกตั้งจะทำหน้าที่เป็นตัวแทนพลเมืองในการลงคะแนนเลือกประธานาธิบดีอีกครั้งในวันจันทร์แรก หลังวันพุธที่สองของเดือนธันวาคมในปีเดียวกัน (สำหรับครั้งนี้ตรงกับวันที่ 17 ธันวาคม) วิธีการเลือกตั้งแบบทางอ้อมนี้ต่างจากประเทศไทยที่ใช้การเลือกตั้งทางตรง ด้วยการนับคะแนนรวม (Popular Vote) มาตัดสินการเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
รัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกากำหนดให้มีคะแนนจากคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral Vote) รวมทั้งหมด 538 เสียง จำนวนนี้ได้มาจากจำนวนวุฒิสมาชิกของแต่ละรัฐ รัฐละ 2 คน รวม 100 เสียง บวกกับจำนวนเขตการเลือกตั้งของรัฐนั้นๆ ซึ่งจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนประชากร เช่น รัฐแคลิฟอร์เนียมี 53 เขตกับวุฒิสมาชิกอีก 2 ท่าน รัฐแคลิฟอร์เนียจึงมีคะแนน Electoral Vote รวม 55 คะแนน ส่วนรัฐแคนซัสที่มีเขตเลือกตั้งเพียง 4 เขต ก็จะมีคะแนน Electoral Vote 6 คะแนน ผู้สมัครจะชนะการเลือกตั้งก็ต่อเมื่อได้คะแนน Electoral Vote เกินครึ่ง หรือ 270 คะแนน โดยผู้สมัครรายใดที่ชนะคะแนน Popular Vote ของรัฐของตน ก็จะคะแนน Electoral Vote ของรัฐนั้นไปทั้งหมด นี่คือเหตุผลว่าทำไมรัฐใหญ่ๆ จึงมีความสำคัญกับผู้สมัครมาก และระบบคณะผู้เลือกตั้งนี้อาจพลิกผันทำให้ผู้สมัครที่ชนะคะแนน Popular Vote รวมจากทั้งประเทศ กลับพลาดตำแหน่งประธานาธิบดีในขั้นตอน Electoral Vote ไปอย่างน่าเสียดาย เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาแล้วในปี 2000 ที่อัล กอร์ จากพรรคเดโมแครต ได้คะแนนเสียงจากประชาชนมากกว่า จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช ถึงห้าแสนคะแนน แต่พลาดแพ้คะแนน Electoral Vote ไปอย่างเฉียดฉิว
สาเหตุที่สหรัฐฯ ต้องมีขั้นตอนของคณะผู้เลือกตั้งเพิ่มขึ้น เป็นเพราะเมื่อปี 1787 เหล่าบิดาผู้ก่อตั้งสหรัฐอเมริกา (The Founding Fathers) หรือกลุ่มผู้นำทางการเมืองที่ร่วมลงนามในคำประกาศอิสรภาพและร่างรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ มีความกังวลว่าพลเมืองที่ด้อยการศึกษาของสหรัฐฯ อาจถูกนักการเมืองล่อลวงชักจูงได้ง่าย การมีคณะผู้เลือกตั้งที่เป็นผู้นำท้องถิ่น มีการศึกษามากกว่า และรู้เท่าทันนักการเมืองมาเป็นตัวแทนเลือกผู้สมัครจึงน่าจะช่วยอุดช่องโหว่นี้ได้ นอกจากนี้ การนับคะแนนรวมจากประชาชนเพียงอย่างเดียวจะสร้างข้อได้เปรียบแก่รัฐที่มีประชากรมากกว่า ส่งผลให้โอกาสของผู้มีสิทธิ์ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ กระจุกตัวเฉพาะรัฐใหญ่ๆ ระบบคณะผู้เลือกตั้งจึงช่วยให้รัฐเล็กๆ มีความสำคัญและมีสิทธิ์มีเสียงอย่างเท่าเทียม
ระบบคณะผู้เลือกตั้งทำให้ผู้คนกังขาถึงความเป็นต้นแบบประชาธิปไตยของสหรัฐอเมริกา เพราะเหมือนเป็นการริดรอนอำนาจไปจากมือประชาชน แต่ถ้ามองในอีกแง่หนึ่ง การมีประชาธิปไตยที่แท้จริงอาจไม่ได้อยู่ที่ระบบการเลือกตั้ง แต่อยู่ที่การเคารพในสิทธิของกันและกัน และการที่คนหมู่มากต้องยอมรับฟังคนหมู่น้อยที่มีสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วมในสังคมเช่นเดียวกัน
ที่มา : นิตยสาร Plook ฉบับที่ 23 เดือนพฤศจิกายน 2555