www.trueplookpanya.com
คลังความรู้
แนะแนว
ข่าวรับตรง
ธรรมะ




คลังความรู้ > ประวัติศาสตร์ > มัธยมปลาย

รู้รอบโลก ตอน อาวุธเคมี ตราบาปที่โลกต้องกำจัด
ทีมงานทรูปลูกปัญญา | 2015-01-07 14:25:40

เรื่อง: ศรินทร เอี่ยมแฟง  ภาพประกอบ: อารัมภ์พร เอี่ยมวุฒิ

อาวุธเคมี
ตราบาปที่โลกต้องกำจัด


เดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมา พลเมืองโลกตื่นตะลึงและสลดหดหู่ไปกับภาพข่าวเหตุการณ์โจมตีด้วยอาวุธเคมี ในเขตโกตา ทางตะวันออกของกรุงดามัสกัส เมืองหลวงของประเทศซีเรีย ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตนับพันคนซึ่งรวมถึงเด็กเล็กๆ มากมาย แม้จะยังไม่ทราบว่าผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ร้ายแรงเช่นนี้เป็นใคร แต่ทั่วโลกต่างก็พากันประณามการใช้อาวุธเคมีในการทำสงครามกลางเมืองของรัฐบาลซีเรีย

 

อาวุธเคมี หมายถึงการนำสารเคมีที่ออกฤทธิ์เป็นพิษต่อร่างกายบรรจุในอาวุธ เพื่อให้สามารถนำพาสารเคมีเหล่านั้นไปทำลายเป้าหมายได้ เช่น ลูกระเบิด หรือหัวจรวดมิสไซล์ ความรุนแรงของอาวุธเคมีมุ่งหมายให้เกิดการเสียชีวิต บาดเจ็บ หรือทุพพลภาพชั่วคราว สารพิษบางกลุ่มส่งผลต่อการหายใจ ทำให้เกิดแผลพุพอง ทำให้เลือดออก หรือมุ่งทำลายประสาทการรับรู้อย่างใดอย่างหนึ่ง

 

การใช้อาวุธเคมีเริ่มขึ้นครั้งแรกในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เมื่อทั้งสองฝ่ายได้แก่ ฝ่ายอังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และฝ่ายเยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการี อิตาลี ต่างใช้แก๊สพิษที่มีส่วนประกอบของคลอรีนผสมกับลูกระเบิดมือและหัวยิงต่อสู้อากาศยานเพื่อทำลายล้างกัน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่าหนึ่งแสนคน จากนั้นเป็นต้นมาการใช้อาวุธเคมีได้คร่าชีวิตหรือทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องบาดเจ็บรุนแรงเป็นตัวเลขกว่าหนึ่งล้านคนทั่วโลก ดังนั้นในปี ค.ศ. 1925 หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งจบลง จึงมีการลงนามในสนธิสัญญาเจนีวาว่าด้วยการห้ามใช้อาวุธเคมีในการทำสงคราม อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงนี้มิได้ห้ามการพัฒนาและการมีอาวุธเคมีไว้ในครอบครอง แถมยังอนุญาตให้ชาติที่เป็นภาคีใช้อาวุธเคมีกับชาติที่ไม่ได้ร่วมลงนามในสนธิสัญญาได้ด้วย

 

ช่องว่างของสนธิสัญญาดังกล่าวส่งผลร้ายแรงมหาศาล กล่าวคือต่อมาในช่วงสงครามเย็น สหรัฐอเมริกาและรัสเซียสะสมอาวุธเคมีไว้เป็นจำนวนมาก จนกล่าวได้ว่าปริมาณของสารเคมีและอาวุธที่กักตุนในครั้งนั้นอาจจะเพียงพอต่อการทำลายชีวิตมนุษย์และสิ่งมีชีวิตต่างๆ บนโลกได้ทั้งหมด

 

ขณะที่อีกฟากหนึ่งของโลกในปี 1980 อิรักใช้อาวุธเคมีในการทำสงครามกับอิหร่าน และยังใช้แก๊สมัสตาร์ดและสารรบกวนประสาทเป็นอาวุธห้ำหั่นชาวเคิร์ด ชนกลุ่มน้อยในอิรักที่ต้องการเอกราชปกครองตนเองในปี 1988 และดูเหมือนว่าอิรักจะไม่แคร์คำเตือนจากนานาชาติ เพราะรัฐบาลยังตั้งหน้าตั้งตาพัฒนาอาวุธที่มีอำนาจทำลายล้างสูง แม้ประเทศจะต้องตกอยู่ในความยากลำบากจากมาตรการคว่ำบาตร ตั้งแต่สงครามอ่าวเปอร์เซียเมื่อปี 1991 เป็นต้นมา ก่อนที่กองกำลังสหประชาชาติจะสามารถโจมตีอิรักเป็นผลสำเร็จในปี 2003

 

จากเหตุการณ์ดังกล่าวจึงมีการทบทวน “อนุสัญญาห้ามอาวุธเคมี” หรือ CWC อีกครั้งในปี 1997 เพื่อให้ครอบคลุมถึงการผลิต การสะสมอาวุธเคมี และการใช้อาวุธเคมี ปัจจุบันมีประเทศสมาชิก 190 ประเทศซึ่งนับเป็นร้อยละ 98 ของประชากรโลกทั้งหมดเข้าร่วมอนุสัญญานี้ แต่ยังมีหกประเทศที่ไม่ลงนามในอนุสัญญานี้ ได้แก่ แองโกล่า เกาหลีเหนือ อียิปต์ ซูดานใต้ พม่า และอิสราเอล

 

ขณะที่ซีเรียเพิ่งเข้าเป็นภาคีเมื่อวันที่ 14 กันยายน หลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงหนึ่งเดือน ด้วยการร้องขอแกมบังคับของประเทศสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ (P-5) ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และจีน เนื่องจากซีเรียเป็นประเทศต้องสงสัยว่ามีความก้าวหน้าในการผลิตอาวุธเคมีสูงที่สุดในประเทศตะวันออกกลาง และยังมีแนวโน้มว่ามีความสามารถในการพัฒนาสารตั้งต้นสารพิษต่างๆ แก๊สมัสตาร์ด รวมถึงซารินด้วย

 

เป้าหมายสำคัญคือการกำจัดการใช้อาวุธเคมีที่มีอานุภาพร้ายแรงให้หมดไปจากโลก แต่เป้าหมายสูงสุดคือการร่วมมือกันของทุกประเทศเพื่อสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืนบนโลกของเรา

 


รู้จักกับอาวุธเคมีและประเทศที่สะสมอาวุธเคมี จากคลิปวิดีโอ YouTube แปลไทย
www.trueplookpanya.com/plook/www_37

 

ที่มา : นิตยสาร pook ฉบับที่ 37 เดือนมกราคม 2557