www.trueplookpanya.com
คลังความรู้
แนะแนว
ข่าวรับตรง
ธรรมะ




คลังความรู้ > สื่อพัฒนานอกระบบ > มัธยมปลาย

รู้รอบโลก ตอน ความจริงของความฝัน
ทีมงานทรูปลูกปัญญา | 2014-08-28 10:34:56

เรื่อง: อรชุมา มีวงษ์อุโฆษ  ภาพประกอบ: อารัมภ์พร เอี่ยมวุฒิ

ความจริงของความฝัน

ความจริงของความฝัน


เคยตื่นมาแล้วถามตัวเองไหมว่า “เมื่อคืนเราฝันอะไรเนี่ย” ความฝันที่เป็นตุเป็นตะของเราเกิดจากอะไร ทำไมบางครั้งช่างพิสดาร อลังการเหลือเกิน ขอเชิญบรรดาคนช่างฝันให้ตื่นลืมตาแล้วตั้งใจอ่านเรื่องราวมหัศจรรย์ของความฝัน การหลับ และสมองของมนุษย์ ณ บัดนี้


ก่อนอื่นมารู้จักการหลับของเราก่อนดีกว่า จากการศึกษาพบว่าช่วงการนอนหลับแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ การหลับตื้น หรือ R.E.M. (Rapid Eye Movement) และการหลับลึก หรือ non-R.E.M. (Non Rapid Eye Movement) ซึ่งจะเกิดซ้ำไปมาตลอดระยะเวลาที่เรานอน 6-8 ชั่วโมง
 

การหลับแบบตื้นและแบบลึกมีการทำงานของสมองที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยขณะที่เราหลับแบบตื้น ภายใต้เปลือกตาที่ปิดอยู่ ลูกตาของเรากลับกลิ้งไปมา ทำให้เราเรียกช่วงการหลับนี้ว่า การเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วของลูกตา หรือ Rapid Eye Movement นั่นเอง สมองของเราจะยุ่งคิดวุ่นวายยิ่งกว่าตอนตื่น ระดับสติจะสูง เลือดจึงเข้าไปเลี้ยงสมองเกือบ 2 เท่าของตอนตื่นเลยทีเดียว และเมื่อทุกส่วนในสมองตื่นตัวขึ้นจึงเป็นช่วงเวลาที่เราฝัน ดังนั้นความฝันส่วนใหญ่มักจะเกิดในช่วงการหลับแบบตื้นและมีลักษณะเหมือนจริงมาก แต่ช่วงนี้ร่างกายกลับมีความผ่อนคลายอย่างเต็มที่เหมือนกับเป็นอัมพาตชั่วคราว
 

ส่วนการหลับแบบลึกเป็นการหลับของสมองโดยแท้จริง ถ้ามีการวัดคลื่นสมองก็จะเห็นเป็นเส้นราบเรียบ เพราะเซลล์ประสาทบริเวณก้านสมองส่วนใหญ่จะทำงานน้อยลงหรือแทบหยุดทำงาน ระดับสติต่ำ อาจมีความฝันเกิดขึ้นบ้างแต่ไม่ชัดเจน แต่ในทางกลับกัน ร่างกายจะไม่ผ่อนคลายโดยสมบูรณ์ เราอาจจะนอนดิ้น ตะแคงซ้ายขวา หรือ เตะผ้าห่มบ้าง
 

แล้วอะไรที่ทำให้เราฝัน? ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าฝันเกิดจากอะไร แต่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าการฝันไม่ใช่เพียงการสร้างความบันเทิงให้สมอง แต่มีหน้าที่จัดระเบียบหน่วยความทรงจำ ว่ากันว่าในช่วงที่เราตื่น ความทรงจำต่างๆ ในแต่ละวันจะถูกเก็บไว้ในที่เก็บความจำแบบชั่วคราว ช่วงการหลับแบบตื้น สมองจะรวบรวมและคัดกรองส่วนความทรงจำที่เป็นประโยชน์เก็บลงในที่เก็บความจำแบบถาวร และคัดส่วนที่ไร้สาระออกไป แล้วจึงค้นหาสิ่งเชื่อมโยงระหว่างสิ่งต่างๆ ที่ดูเหมือนไม่ได้ข้องเกี่ยวกัน ซึ่งอาจช่วยให้เราเป็นมนุษย์ที่ดีขึ้นในวันพรุ่งนี้ นี่จึงสามารถอธิบายความจำเป็นของการนอนหลับอย่างเพียงพอที่เกี่ยวข้องกับความจำของเรา
 

มีความฝันอีกแบบหนึ่งที่คนช่างฝันหลายคนมักเป็น ได้แก่ “การฝันรู้ตัว” (lucid dreaming) คือเวลาที่เรารู้ตัวอยู่ว่าฝัน แต่เราไม่ได้ตื่นขึ้นมา เคยมีงานวิจัยระบุว่าเราทุกคนเคยฝันรู้ตัวกันอย่างน้อยหนึ่งครั้ง และทุก 1 ใน 10 คนจะฝันรู้ตัวกันเป็นประจำ บางทีเราอาจจะรู้สึกเหมือนเราใช้เวลากับการฝันทั้งคืน แต่ความจริงเราอาจฝันแค่ไม่กี่นาทีต่อครั้ง หากเทียบกับระยะเวลาตลอดชีวิต เราใช้เวลาไปกับการฝันเพียง 6 ปีเท่านั้นเอง ขณะที่บางคนคิดว่าตัวเองไม่ค่อยฝัน แต่ความจริงแล้วคนเราฝัน 3-7 เรื่องต่อคืน เพียงแต่เราจำไม่ได้เท่านั้นเอง
 

เห็นได้ว่าไม่มีอวัยวะส่วนไหนที่ซับซ้อนและลึกลับเท่าสมองของเราอีกแล้ว สมองเป็นตัวขับเคลื่อนชีวิตของเราทั้งในยามตื่นและยามหลับไปในทิศทางที่อยากเป็น ส่วนความฝันไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็มีประโยชน์และเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการทำงานของสมองด้วย เพราะฉะนั้น เมื่อมีโอกาส (ที่เหมาะสม) ก็อย่าลืมงีบหลับเสียหน่อย หรือนอนพักผ่อนอย่างพอเพียงเพื่อสมองที่แจ่มใสและความจำที่เป็นเลิศ

 

Did you know?


รู้หรือไม่ว่า ความทรงจำช่วยสร้างสรรค์ความคิดใหม่ๆ และทำให้เกิดการค้นพบสิ่งใหม่ๆ ในประวัติศาสตร์มากมาย ตัวอย่างเช่น ทฤษฎีสัมพันธภาพ E = mcของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) ก็เกิดจากความฝันของเขาที่ได้ท่องเที่ยวไปบนรถลากเลื่อนด้วยความเร็วแสง ขณะที่ นีลส์ บอร์ (Niels Bohr) เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ เคยฝันถึงสนามม้าแข่งที่ช่วยให้เขาค้นพบโครงสร้างอะตอมได้สำเร็จ หรือศิลปินอัจฉริยะระดับโลก ซาลวาดอร์ ดาลี (Salvador Dali) ก็ถ่ายทอดผลงานศิลปะแนวเหนือจริงจากความฝันของเขาเอง

 

เจาะลึกเรื่องราวการฝันในแบบวิทยาศาสตร์ จากคลิปวิดีโอ YouTube แปลไทย click ที่นี่

 

ที่มา: นิตยสาร plook ฉบับที่ 26 เดือนกุมภาพันธ์ 2556