เด็กฝึกงาน : อาสาสมัครรักษาสิทธิ์
ทีมงานทรูปลูกปัญญา | 2014-06-30 15:12:32
เรื่อง: กัลยาณี แนวเล็ก
“อาสาสมัคร” คือบุคคลที่เสนอตัวเข้าทำงานด้วยความสมัครใจ โดยทั่วไปไม่ค่อยเจาะจงวิชาชีพนัก แต่สำหรับ “อาสาสมัครนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน” จะต้องเป็นผู้มีความรู้ด้านนิติศาสตร์โดยเฉพาะ ทักษะที่มีจะเป็นประโยชน์อย่างไรต่อสังคม ต้องมาฟังจากสองสาวนักกฎหมาย แจม-ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ บัณฑิต ม.สุโขทัยธรรมาธิราช และ ก้อย-บุศรา สิงหบุตร บัณฑิต ม.แม่ฟ้าหลวง ที่เคยมีประสบการณ์การเป็นอาสาสมัครนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนมาแล้ว
ต้นทางของนิติอาสา
อาสาสมัครนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนเป็นโครงการหนึ่งของมูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม (มอส.) ที่มุ่งบ่มเพาะให้นักกฎหมายได้ใช้ชีวิต ใช้ความรู้สึกในการประกอบวิชาชีพมากกว่าการมองเพียงตัวบทกฎหมาย ดังนั้นแล้วคุณสมบัติพื้นฐานของอาสาสมัครคือใจ ต่อมาคือความรู้ด้านนิติศาสตร์ โดยมีการคัดเลือกจากการตอบคำถามในใบสมัครว่าใครมีแนวคิดสอดคล้องกับองค์กรเพื่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนแบบใด จากนั้นจึงแนะนำองค์กรที่เหมาะสมกับความรู้ความสามารถของอาสาสมัคร
เมื่อถามถึงความหมายของคำว่าสิทธิ “ก้อย” นิยามว่า “สิ่งที่อยู่กับตัวเรามาตั้งแต่เกิดและไม่มีใครเอาไปจากเราได้ ถึงแม้ว่ารัฐธรรมนูญจะบัญญัติไว้อย่างไร แต่สุดท้ายใครก็ตามจะมาทำร้ายไม่ได้” “สิทธิคือการที่เราจะทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ โดยที่สิ่งที่เราทำต้องไม่ไปละเมิดสิทธิของคนอีกคนหนึ่งเหมือนกัน คือใช้สิทธิในพื้นที่ที่เราไม่ไปรบกวนคนอื่นค่ะ” “แจม” ช่วยขยามความต่อ
พิทักษ์สิทธิมนุษยชน สร้างเครือข่ายนักกฎหมาย
อาสาสมัครนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนมีวาระการทำงาน 1 ปี ต้องผ่านกระบวนการฝึกอบรม 4 ครั้ง คือ ปฐมนิเทศ ระยะสี่เดือน ระยะแปดเดือน และระยะครบหนึ่งปี เพื่อเติมความคิด ความรู้ และทักษะในการทำงาน โดยในแต่ละวาระเป็นการเปิดโอกาสให้อาสาสมัครสรุปบทเรียนที่ตัวเองได้เรียนรู้จากการทำงานร่วมกับองค์กร รวมถึงเปิดโอกาสให้อาสาสมัครได้กระชับความเป็นเพื่อนเพื่อสร้างเครือข่ายนักกฎหมายสำหรับผู้ถูกละเมิดสิทธิ์ให้เหนียวแน่นและสนับสนุนงานอย่างเข้มแข็งในอนาคตต่อไป
“เราได้เรียนรู้เรื่องพื้นฐานมนุษยชน เรียนกระบวนการเกี่ยวกับมนุษยชนก่อน เพราะว่าเรื่องของสิทธิในเมืองไทยเพิ่งเริ่มต้นได้ไม่นาน นักกฎหมายสิทธิมนุษยชนในเมืองไทยยังมีน้อย เลยเป็นส่วนหนึ่งของการริเริ่มโครงการนี้ด้วยค่ะ” “ก้อย” เปิดเผย
“ก้อย” เลือกทำงานกับศูนย์ข้อมูลชุมชน ซึ่งเน้นการคุ้มครองสิทธิชุมชนและสิ่งแวดล้อม โดยได้เข้าไปให้ความรู้เรื่องสิทธิชุมชนและช่วยเหลือทำคดี ที่ส่วนใหญ่มักเป็นคดีที่ชาวบ้านในชุมชนได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง ส่วน “แจม” ซึ่งทำงานให้กับมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ประจำอยู่ในกรุงเทพฯ
“แจมรับผิดชอบโครงการเกี่ยวกับรถโดยสารปลอดภัย คือเป็นโครงการที่ได้เงินทุนมาจาก สสส. อีกทีหนึ่ง แจมมีหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนจึงได้เจอกับเคสต่างๆ โดยตรง ให้คำปรึกษา ช่วยเตรียมเอกสาร นัดคู่กรณีให้มาเจรจา เราเป็นคนกลางค่ะ ถ้าสองฝ่ายเจรจาแล้วไม่โอเคก็นำคดีไปฟ้องสู่ศาลให้กับผู้บริโภค แต่แจมเพิ่งทำได้สี่เดือน ยังไม่ถึงขั้นฟ้องศาล ยังอยู่ในขั้นตอนเจรจา”
งานเลี้ยงหัวใจ
“การมองชีวิตคนให้เท่ากัน ไม่ว่าการให้สิทธิคนอื่นและการที่เราจะได้รับสิทธิอะไรก็ตาม ที่นี่เหมือนเป็นเวทีที่ให้เราเรียนรู้ หาประสบการณ์เรื่องการดำเนินคดี และสามารถค้นคว้าหาประเด็นเรื่องสิทธิได้ตลอดเวลา ถ้าหากว่าเราสนใจจริงๆ ค่ะ” “ก้อย” เชื่อว่าหน้าที่ตลอดหนึ่งปีของเธอเป็นวิชาเรียนที่หาไม่ได้ในมหาวิทยาลัย
ในทรรศนะของ “แจม” การเป็นอาสาสมัครยังสร้างความสุขที่ยิ่งใหญ่กว่าเงินทอง “งานแบ่งออกเป็นงานเลี้ยงชีวิตและงานเลี้ยงหัวใจ อันนี้เป็นงานเลี้ยงหัวใจ เป็นความสุขเวลาได้รับคำขอบคุณ ไม่เคยรู้สึกว่าจะเป็นที่พึ่งของใครได้ขนาดนี้เลย เวลาเราทำเคสจบจนเขาได้รับเงินตามที่เขาต้องการ เขาก็จะขอบคุณเราอย่างดีใจจริงๆ ที่เราช่วยเขา เอาของกินเอาขนมมาให้ ไม่ได้มีมูลค่ามากมาย เราไม่ได้เงินเป็นแสนในการทำคดีทั่วๆ ไป แต่เหมือนเราได้สิ่งที่จะหล่อเลี้ยงหัวใจให้เราทำงานต่อไปในด้านนี้ค่ะ”
สนใจเข้าร่วมเป็นอาสาสมัครนักกฎหมายสามารถติดตามข่าวสารได้ที่เว็บไซต์ของมูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม https://thaivolunteer.org/myweb/
ที่มา : นิตยสาร plook ฉบับที่ 25 เดือนมกราคม 2556