เด็กฝึกงาน : อาสาสมัครยุวพุทธ
ทีมงานทรูปลูกปัญญา | 2014-06-30 10:52:19
เรื่องและภาพ: กัลยาณี แนวเล็ก
“จิตฺตํ ทนฺตํ สุขาวหํ” พุทธศาสนสุภาษิตที่มีความหมายว่า จิตที่ฝึกดีแล้ว นำสุขมาให้ สะท้อนถึงผลลัพธ์จากการฝึกปฏิบัติจิตใจอย่างสม่ำเสมอของเหล่าเยาวชนอาสาสมัครยุวพุทธ จากยุวพุทธิกสมาคมฯ ที่มุ่งเน้นการเผยแผ่พุทธศาสนา และช่วยเหลือกิจกรรมสาธารณะประโยชน์ตามความถนัดและสนใจ
จากยุวพุทธสู่อาสาสมัครยุวพุทธ
“ยุว” แปลว่า “ผู้เยาว์” “พุทธิกะ” แปลว่าผู้ที่นับถือในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า “ยุวพุทธิก” จึงมีความหมายว่า ผู้เยาว์ที่นับถือในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า สอดคล้องกับหลักสูตรต่างๆ ของยุวพุทธที่มีกิจกรรมสำหรับเด็กจนถึงผู้ใหญ่
เน-วรรณวัฒน์ เหลืองวิไล นักศึกษาจาก Durham University และ แนน-นันท์นพิน เพชราภิรัชต์ นิสิตจากรั้วจุฬาฯ สองอาสาสมัครยุวพุทธเริ่มต้นจากการเข้าร่วมกิจกรรมเป็นยุวพุทธตั้งแต่เด็ก
“ตอนนั้นอายุ 14 แม่ผมเป็นทันตแพทย์แล้วคนไข้ของแม่ก็แนะนำมา ซึ่งตอนนั้นอยากปฏิบัติอยู่แล้ว โครงการที่เข้าร่วมคือสามเณรใจเพชร เราต้องไปเตรียมความพร้อม เน้นเดินจงกรม นั่งสมาธิเป็นส่วนใหญ่ครับ และก็มีพระพี่เลี้ยงมาจากวัดอัมพวัน พอจบวันที่เจ็ด พระพี่เลี้ยงก็จะคัดเลือกและให้เราตัดสินใจว่าจะบวชไหม ถ้าบวชจะบวชที่ยุวพุทธและจำวัดที่วัดอัมพวันหนึ่งเดือนครับ” “เน” เริ่มต้นเล่า
ขณะที่ “แนน” เข้าคอร์สของวัยรุ่นของยุวพุทธมาก่อน “ตอนนั้นเข้าคอร์สที่จัดโดย อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม มีกิจกรรมปฏิบัติธรรมเยอะ และได้ลองคิดโครงการจิตอาสาและให้ออกไปทำเลยซึ่งสนุกมาก ก็จะสนิทกันในทีม เข้าคอร์สไปเรื่อยๆ ประมาณสองปี พี่ที่ยุวพุทธก็ชวนว่าลองเข้ามาเป็นผู้ช่วยพี่เลี้ยงก่อนไหม ทำแล้วก็ชอบและรู้สึกว่ามันให้อะไรกับชีวิตจริงๆ เรารู้สึกว่าเก็บไว้คนเดียวไม่ได้ก็ต้องเอาไปแชร์ แล้วถ้าเกิดได้ช่วยแค่คนๆ คนหนึ่งให้รู้สึกดีกับศาสนาพุทธ อยากเรียนรู้หรือได้คำสอนอะไรไป มันก็คุ้มแล้ว หลังจากนั้นก็เลยมาช่วยตลอด”
ทั้งให้และรับ
หากคำว่าอาสาสมัครหมายถึงผู้ที่สมัครใจทำงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวม โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน อาสาสมัครยุวพุทธก็เกิดขึ้นเพื่อเป็นช่องทางให้คนที่มีความรู้ความสามารถ มีส่วนช่วยเหลือยุวพุทธิกสมาคมฯ ในการเผยแผ่ศาสนา และช่วยเหลือกิจกรรมสาธารณะประโยชน์ตามความถนัดและสนใจ ซึ่งผู้ที่จะมาเป็นอาสาสมัครต้องเคยเข้าร่วมกิจกรรมหรือโครงการปฏิบัติธรรมกับยุวพุทธฯ อย่างน้อยหนึ่งครั้ง เพื่อเข้าใจวิธีปฏิบัติ
ด้วยใจอาสา “เน” มีแนวความคิดที่น่ายกย่อง “ผมคิดว่าพวกเราทุกคนชอบที่จะให้คนอื่นยอมรับ และเราเป็นชาวพุทธด้วย ยิ่งอยากเผยแผ่ศาสนา พวกเรายังได้ทำงานได้ประสบการณ์ และทุกครั้งที่จบกิจกรรมก็จะได้รับเสียงสะท้อนว่าวันนี้เธอทำได้อะไรบ้าง แล้วต้องแก้ไขอะไรบ้างให้ดีขึ้น ผิดพลาดตรงไหนบ้าง วันนี้ไม่พอใจผลงานของตนเองอะไรบ้าง”
“ตอนแรกตั้งใจมาช่วยเต็มๆ แต่พอเข้ามาช่วย ไม่ใช่แค่เราได้ให้อย่างเดียว เราได้เรียนรู้อะไรเยอะกว่านั้น ทั้งหลักธรรมคำสอนและวิธีการทำงานด้วย เพราะเด็ก ม.ต้นคงไม่ได้มาทำงานในองค์กรจริงๆ ที่วางระบบไว้ดี ตอนนี้เริ่มวางโครงการเองแล้ว ลงตารางเอง ให้คิดกิจกรรมทุกอย่างเอง ซึ่งถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีที่ไม่ใช่จะหากันได้ง่ายๆ และตรงนี้ทุกคนพร้อมจะให้ค่ะ ตอนเป็นพี่เลี้ยงเหนื่อยมาก แนนได้ลองเป็นสองแบบทั้งพี่เลี้ยงประจำกลุ่มที่ได้สัมผัสกับเด็กโดยตรง ต้องเรียนรู้เด็กๆ และพี่เลี้ยงกองกลางที่วิ่งไปมาอยู่ข้างหลังก็จะเหนื่อยกว่า ต้องรู้งานทั้งหมด ต้องวิ่งช่วยพี่เลี้ยง ครู พิธีกร ซึ่งนอนดึกตื่นเช้า บางทีก็ใช้แรงงานแต่ก็สนุก” “แนน” ช่วยเสริม
สุขจากการแบ่งปัน
จากการเป็นผู้เข้าร่วมกิจกรรมจนมาถึงการเป็นอาสาสมัครยุวพุทธ ทำให้ได้มุมมองจากทั้งสองด้าน เมื่อถามว่าความสุขที่ได้คืออะไร “แนน” บอกว่า “ที่แน่ๆ คือได้เรียนรู้คำสอนของพระพุทธเจ้า ทุกอย่างเอามาปรับใช้ได้จริงๆ ก็เลยต้องกลับมาแชร์ให้คนอื่นรับรู้ เหมือนที่อาจารย์เคยพูดว่ามีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่นนะ เรามาเพื่อได้ให้ในสิ่งที่เรารู้สึกว่าจะมีประโยชน์ที่สุด หนูมองว่าศาสนาพุทธสอนให้กลับไปแก้ที่ใจ ให้ดับทุกข์ พอโตมาได้ทำงานทำให้ได้เรียนรู้ระบบการทำงานเยอะมาก และที่สำคัญหนูได้รู้จักกลุ่มคนที่จะไม่ทำร้ายกันและรักกันค่ะ”
ส่วน “เน” เล่าด้วยแววตาเป็นประกายว่า “ตอนบวชจิตใจจะสงบขึ้น เหมือนตอบแทนคุณพ่อแม่ การนั่งสมาธิช่วยได้เยอะมาก อ่านหนังสือได้ดีมาก สมองปลอดโปร่ง ใจสงบมาก พอเป็นอาสาสมัครยิ่งมีความสุข เพราะเราทำให้คนอื่นมีความสุข”
สำหรับผู้ที่สนใจกิจกรรมของยุวพุทธฯ สามารถเข้าไปดูตารางกิจกรรมได้ที่ www.ybat.org
ที่มา : นิตยสาร plook ฉบับที่ 41 เดือนพฤษภาคม 2557