www.trueplookpanya.com
คลังความรู้
แนะแนว
ข่าวรับตรง
ธรรมะ




คลังความรู้ > สื่อพัฒนานอกระบบ > มัธยมปลาย

รู้รอบโลก ตอน Instagram ความสำเร็จของแอพสำเร็จรูป
ทีมงานทรูปลูกปัญญา | 2014-05-09 16:09:37

เรื่อง: ศรินทร เอี่ยมแฟง และ พฤทธิ์ เลิศสุกิตติพงศา  ภาพประกอบ: อารัมภ์พร เอี่ยมวุฒิ

instagram

หากจะพูดถึงเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศไทย เห็นจะมีอยู่แค่สามบิ๊กที่ครองบัลลังก์ยาวนานคือ เฟซบุ๊ค (Facebook) ทวิตเตอร์ (Twitter) และอินสตาแกรม (Instagram) โดยแอพพลิเคชั่นยอดฮิตอย่างอินสตาแกรม มีอายุน้อยที่สุดแต่มีอิทธิพลในชีวิตของผู้คนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากมันเป็นฟรีแอพพลิเคชั่นที่ใช้ง่ายแสนง่าย ถูกใจคนยุค “Selfie” แต่น่าแปลกใจที่เราไม่ค่อยรู้จักที่มาที่ไปของอินสตาแกรมทั้งที่เปิดใช้กันเกือบทุกวัน

เรื่องราวของบุคคลผู้อยู่เบื้องหลังการกำเนิดของอินสตาแกรมนั้นน่าสนใจไม่แพ้ มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก แห่งเฟซบุ๊ค ซีอีโอของอินสตาแกรมเป็นสองหนุ่มร่วมรั้วมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดแห่งสหรัฐอเมริกา พวกเขาคือ เควิน ซิสตรอม (Kevin Systrom) และ ไมค์ ครีเกอร์ (Mike Krieger) ซึ่งมีประสบการณ์การทำงานกับแบรนด์ไอทีชั้นนำมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น ทวิตเตอร์ กูเกิล ไมโครซอฟท์ ดูจากพื้นเพคร่าวๆ ก็พอเข้าใจได้ว่าสองหนุ่มน่าจะเข้าข่าย “เด็กเนิร์ด” อยู่เหมือนกัน

 

แม้จะยุ่งอยู่กับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ แต่เควินกับไมค์ก็มีความสนใจในการถ่ายรูป ทั้งสองคนเคยคิดว่าการจะได้ภาพดีๆ สักภาพหนึ่ง ต้องอาศัยกล้องโปรตัวใหญ่ๆ หรือไม่ก็ต้องผ่านการเทคคอร์สถ่ายรูปจริงจัง ถึงแม้ว่า 4 ปีที่แล้วโลกจะมีโทรศัพท์มือถือติดกล้องไว้ใช้ถ่ายรูปกันอย่างแพร่หลายแล้วก็ตาม เขาพบข้อจำกัดมากมายในการบันทึกภาพ ไม่ว่าจะเป็น รูปภาพที่ออกมาไม่ค่อยสวยและคุณภาพไม่ค่อยดี แถมพอแต่งภาพเสร็จแล้วอยากจะอวดเพื่อนๆ ในเครือข่ายสังคมออนไลน์ก็ต้องเสียเวลาไปอัพโหลดอีกต่อหนึ่ง แล้วทำไมจึงไม่มีเครื่องมือที่รวมขั้นตอนทุกอย่างเอาไว้เหมือนกับกล้องโพลารอยด์บ้าง

 

เดือนตุลาคมปี ค.ศ. 2010 เควินและไมค์จึงสร้างแอพพลิเคชั่นนามว่าอินสตาแกรม สำหรับการถ่ายรูปแล้วใส่ฟิลเตอร์สีสันต่างๆ จากนั้นก็สามารถโพสต์ในแกลเลอรี่ของตัวเอง หรือส่งต่อไปยังโซเชียลเน็ตเวิร์กอื่นๆ ได้ทันที จุดขายของอินสตาแกรมนอกจากจะอยู่ที่การเป็นแอพพลิเคชั่นดาวน์โหลดฟรีแล้ว ฟังก์ชั่นการตกแต่งภาพให้ออกมาในแนวอินดี้ หรือฮิปสเตอร์ ตามสไตล์กล้องโพลารอยด์หรือกล้องฟิล์มในสมัยก่อน ทำให้มีคนดาวน์โหลดไปลองใช้อย่างรวดเร็วทั่วโลก

 

อินสตาแกรมยังรู้ใจพฤติกรรมคนเล่นโซเชียลเน็ตเวิร์กในปัจจุบันที่ชอบแสดงความคิดเห็นแบบรวดเร็ว จากกริยา “กดไลค์” ในเฟซบุ๊ค กลายเป็นการกดซ้ำสองครั้ง “ดับเบิลแท็ป” ให้หัวใจกับรูปที่ชอบ และจากการใส่แฮชแท็ก (#hashtag) นำหน้าคำสำคัญแบบทวิตเตอร์ ก็ถูกนำมาใช้ในอินสตาแกรมเพื่อค้นหารูปในแบบเดียวกัน หากจะมองด้านเทคโนโลยีก็มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จากเดิมที่รองรับแค่ไอโฟน ไอพอดทัช และไอแพด ขยับมาที่แอนดรอยด์ ตามมาด้วยวินโดว์สโฟน จากภาพนิ่งกลายมาเป็นคลิปสั้น 15 วินาที และจากการโพสต์ในแกลเลอรี่ส่วนตัว เพิ่มเติมด้วยการส่งรูปหรือคลิปแบบวงจำกัดเฉพาะคนหรือกลุ่ม ความสามารถต่างๆ ที่เพิ่มเติมเข้ามาตลอด 4 ปียิ่งดึงดูดให้มีผู้ใช้มากขึ้นและใช้เวลาเล่นนานขึ้นด้วย โดยมีจำนวนผู้ใช้พุ่งพรวดขึ้นในช่วงสองปีหลัง คือ 100 ล้านคน และขยับเป็น 150 ล้านคนเมื่อปลายปี 2013

 

แม้แต่เควินและไมค์เองก็คงไม่คาดคิดว่าแอพลิเคชั่นถ่ายรูปธรรมดาที่สร้างขึ้นจะก้าวมาไกลขนาดนี้ หนึ่งคนที่มองเห็นอนาคตและการเจริญเติบโตของอินสตาแกรมและกระโดดเข้าไปร่วมวงก็คือ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก เจ้าเก่าซึ่งควักเงินซื้ออินสตาแกรมไปด้วยมูลค่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อปี 2012 ท่ามกลางกระแสการถดถอยของเฟซบุ๊คที่เขาสร้างขึ้น

 

ความสำเร็จของอินสตาแกรมเป็นคำตอบของเทคโนโลยีสำหรับคนยุคใหม่ ยุคที่ทุกคนหลุดจากกรอบคอมพิวเตอร์และกรอบของอินเทอร์เน็ตที่ต้องนั่งใช้งานหรือเล่นอยู่กับที่เท่านั้น แต่กลายเป็นยุคของการยินยอมให้เทคโนโลยีแบบ all-in-one ที่สามารถพกพาได้ เป็นส่วนหนึ่งของอวัยวะในร่างกายอย่างเต็มใจ

Did you know?

ชื่อของ Instagram มาจากคำว่า “instant camera” หรือกล้องฟิล์มแบบสำเร็จรูป และคำว่า “telegrams” มาจากรูปแบบการส่งโทรเลข ซึ่งคล้ายกับการถ่ายรูปผ่านแอพพลิเคชั่นแล้วส่งผ่านเคเบิลไร้สายไปยังคนอื่นๆ

รู้จักกับไวรัสไซเบอร์ (The cyber bullying virus) จากเมนู คลิปเด็ด แปลไทย

www.trueplookpanya.com/true/knowledge_youtube.php?youtube_id=912