พิพิธภัณฑ์ธนาคารไทย
ทีมงานทรูปลูกปัญญา | 2012-03-27 13:55:08
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
วัตถุประสงค์
ตั้งแต่ก่อตั้งมาจนถึงปัจจุบัน ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) มีเอกสารสำคัญ และเครื่องมือเครื่องใช้จำนวนมาก อันบ่งบอกถึง วิวัฒนาการแห่งความเจริญก้าวหน้า ในระบบการเงินการธนาคารของประเทศ ซึ่งสะท้อนให้เห็น ภาพในอดีตได้อย่างชัดเจน
และด้วยตระหนักถึง คุณค่าของความรู้ อันสืบเนื่องมาจาก หลักฐานทางประวัติศาสตร์ ของระบบการเงินการธนาคาร ซึ่งเป็นสิ่งล้ำค่า และเป็นของหายากในปัจจุบัน ธนาคารจึงได้จัดสร้าง “พิพิธภัณฑ์ธนาคารไทย”ขึ้น เพื่อเป็นสถานที่ในการจัดแสดง สิ่งของล้ำค่าทางประวัติศาสตร์ ด้านการเงินการธนาคารของชาติ สำหรับเป็นแหล่งค้นคว้าด้านวิชาการ อันเป็นประโยชน์ต่อคนรุ่นหลัง ซึ่งสามารถใช้เป็นที่ค้นคว้าเพิ่มต่อไปได้
ธนาคารได้ทำพิธีเปิด พิพิธภัณฑ์ธนาคารไทยแห่งนี้ เมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ.2539 ณ บริเวณชั้น 2 อาคารพิพิธภัณฑ์ธนาคารไทย และในโอกาสครบรอบ 100 ปี ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้ดำเนินการปรับปรุงพิพิธภัณฑ์ธนาคารไทย และได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนิน ทรงเยี่ยมชมอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2550
แผนผังพิพิธภัณฑ์ธนาคารไทย
ส่วนที่ 1 วิวัฒนาการเงินตรา
ก่อนที่จะนำเงินตรามาใช้เป็นสื่อกลางในการซื้อขายกันดังในปัจจุบัน คนเราได้นำระบบการแลกเปลี่ยนผลิตผลของตน กับสิ่งอื่นที่ต้องการมาใช้ตั้งแต่ก่อนสมัยประวัติศาสตร์แล้ว แต่การแลกเปลี่ยนโดยตรงที่กล่าวนี้ไม่สะดวก เนื่องจากผลิตผลบางชนิด เป็นสิ่งมีชีวิต เช่น สัตว์เลี้ยงไม่สามารถตัดแบ่งกันได้ สินค้าที่นำมาแลกเปลี่ยนกัน มีคุณภาพไม่เท่ากัน นอกจากนี้ความต้องการของผู้ที่มีผลิตผล ที่ต้องการจะแลกเปลี่ยนทั้งสองฝ่ายไม่ตรงกัน การแลกเปลี่ยนจึงไม่อาจเกิดขึ้นได้
เพื่อให้การแลกเปลี่ยนเป็นที่พอใจของทั้งสองฝ่าย คนเราจึงเริ่มนำเอาวัตถุมีค่าบางชนิด ซึ่งถือกันว่า เป็นของมีค่าในสังคมขณะนั้น มาเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน วัตถุที่นำมาใช้เป็นสื่อกลางนี้ มีหลากหลายชนิดแตกต่างกันไปในแต่ละสังคม และยุคสมัย เช่น ปศุสัตว์ ลูกปัด เกลือ เปลือกหอย ขนนก ขวานหิน หัวลูกธนู หนังสัตว์ ฟันปลาวาฬ เครื่องประดับ โลหะต่าง ๆ เป็นต้น
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ คนเราได้นำมาใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน จึงเกิดระบบการแลกเปลี่ยน โดยใช้สื่อกลางขึ้น ในบรรดาสิ่งต่างๆ ที่ใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน มากมายหลายชนิดนั้น แร่เงินและแร่ทองคำ มีคุณสมบัติที่เหนือกว่า ผลิตผลทางการเกษตร เช่น หายาก คงทน ตัดแบ่งเป็นชิ้นเล็ก ๆ ทอนค่าลงได้ โดยไม่เสียคุณสมบัติเดิม หลอมรวมกันเป็นก้อนใหญ่ขึ้นได้ พกพาสะดวก ทำเครื่องประดับได้งดงาม ผู้คนในสังคมต่างๆ ทั่วโลก จึงนิยมใช้โลหะทั้งสองชนิด เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์
ส่วนที่ 2 วิวัฒนาการธนาคาร
คำว่า “ธนาคาร” หรือ Bank ในภาษาอังกฤษ มาจากคำว่า “Banco” ในภาษาอิตาเลี่ยน ที่แปลว่า “ม้ายาว” เนื่องจากพวกยิว และพวกนายธนาคารในยุคแรก ใช้ม้ายาวเป็นที่กองเงินตรา เพื่อทำธุรกิจ แลกเปลี่ยนเงินตรา และให้กู้ยืม ส่วนสถานที่ใช้ประกอบธุรกิจ มักเป็นสถานที่ชุมนุมชน เช่น ตลาดหรือโรงสวด
นอกจากนี้ คำว่า Bank ก็อาจมาจากคำว่า Banck ในภาษาเยอรมัน ซึ่งหมายถึง “กอง” ซึ่งชาวเยอรมัน ใช้บอกลักษณะของหนี้สาธารณะ แต่ไม่ว่าคำว่า Bank จะมาจากภาษาใดก็ตาม ธนาคารก็เป็นสถาบันการเงิน ที่เป็นตัวกลางที่สำคัญ ต่อเศรษฐกิจทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
บทบาทของธนาคาร ในยุคสมัยต่าง ๆ ที่อำนวยความสะดวก ในทางการเงิน ทั้งการรับฝาก การให้กู้ยืม การแลกเปลี่ยนเงิน ให้แก่ลูกค้า ทำให้ภาวะการค้า และเศรษฐกิจของประเทศก้าวหน้าไป โดยไม่ติดขัด ก็จะยังคงดำเนินต่อไป โดยไม่เปลี่ยนแปลง และทั้งจะทวีความสำคัญมากขึ้น ตามระยะเวลาที่ผ่านไป
ในสังคมสมัยโบราณ ประมาณ 3900 ปี ก่อนคริสต์ศักราช มีการดำเนินกิจการธนาคาร ในประเทศอียิปต์โบราณ โดยประชาชน นำวัวมาฝาก และได้รับหลักฐานการฝากไว้ โดยที่วัวเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน หลักฐานการฝาก จึงเป็นสิ่งมีค่า และกลายเป็นสื่อกลาง ในการแลกเปลี่ยนไปด้วย กิจกรรมเกี่ยวกับการเก็บรักษาทรัพย์สิน และการให้กู้ยืมเช่นนี้ มีการประกอบธุรกิจด้วยเช่นกัน ในแคว้นบาบิโลน (Babylone) ในอารามแดงแห่งอุรุก (Uruk) ซึ่งมีอายุประมาณ 3400 ปี ถึง 3200 ปี ก่อนคริสต์ศักราช โดยที่อาราม มีที่ดินกว้างขวาง นักบวชจึงให้เช่าที่ดินนั้น เพื่อทำการเกษตร
นอกจากนี้ อารามยังมีสินทรัพย์จำนวนมาก ซึ่งมีผู้นำมาถวายอุทิศแก่เทพเจ้า นักบวชจึงนำออกหาผลประโยชน์อีกด้วย ต่อมาจึงมีการให้กู้ยืม เมล็ดพืชธัญญาหาร ให้ยืมปศุสัตว์ โดยมีการคิดค่าตอบแทน เมื่อกิจการธนาคารเจริญขึ้นมาก พ่อค้าสามารถฝากสินทรัพย์ ไว้กับอาราม และรับแผ่นดินเผา จารึกรายการที่ฝากไว้ เป็นหลักฐาน เพื่อนำไปขอเบิกจ่าย สินทรัพย์ที่ฝากไว้นี้ กับสาขาของอารามได้ หลังจากนั้นแล้ว ก็มีพวกฆราวาส มีที่ดินและฐานะดี ดำเนินธุรกิจธนาคารเช่นกัน
กิจการธนาคารของแคว้นบาบิโลน เลิกไป เนื่องจากสงครามและอาณาจักรแตกแยกกัน ต่อมาประมาณ 400 ปี ก่อนคริสต์ศักราช มีธนาคารเกิดขึ้นในกรุงเอเธนส์ และโรม ซึ่งเป็นเมือง ที่มีความเจริญและร่ำรวยมากในขณะนั้น กิจการธนาคารยังคงเริ่มจากอารามเช่นกัน โดยมีนักบวชชายหญิง เป็นผู้ดำเนินการ
การรับฝากเงินและของมีค่าส่วนใหญ่ กู้เพื่อความปลอดภัย จากความไม่สงบในเมือง หรือจากภัยสงคราม มีการรับแลกเงิน การให้กู้ การออกตั๋วเงินตามจำนวนเงินที่ฝากไว้ ตั๋วเงินพวกนี้ สามารถนำไปชำระหนี้ หรือจ่ายเงินในเมืองอื่นได้ การที่มีกฎหมายบางอย่างควบคุม จึงทำให้ธุรกิจธนาคาร ดำเนินไปด้วยดี จึงมีผู้ประกอบธุรกิจธนาคารเพิ่มขึ้น ทั้งที่เป็นเอกชน และของผู้ปกครองรัฐ จนมีธนาคารตั้งอยู่เกือบทุกมณฑล จนเมื่ออาณาจักรโรมสลายตัวลง ภาวการณ์ค้าเสื่อมลง กิจการธนาคารจึงเสื่อมลงตามไปด้วย
ในสมัยกลาง อันเป็นระยะเวลา ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 4 จนถึง 14 นั้น เมื่ออำนาจการปกครอง ของอาณาจักรโรมันล่มสลาย ทวีปยุโรปจึงแตกแยก เป็นแคว้นต่างๆ อย่างมากมาย และเกิดการรบพุ่งขึ้น บรรดาผู้มีอำนาจและที่ดิน ต่างก็สร้างป้อมปราสาท และสะสมกำลังทหาร รวมทั้งอัศวินขึ้นทั่วไป สภาพที่กล่าวนี้ ไม่เอื้ออำนวยต่อการค้า และการธนาคาร จนกระทั่งเกิดสงครามครูเสดขึ้น การส่งอัศวินและทหารไปรบ ทำให้บรรดาเจ้าผู้ครองแคว้น ต้องการเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่าย ในการสะสมกำลังอาวุธ และเพื่อใช้ในสงคราม การให้กู้ยืมจึงเกิดขึ้น
นอกจากนี้ บรรดาทหาร ที่ไปรบและถูกจับ ก็ต้องส่งเงินไปเป็นค่าไถ่ตัวก็ดี การส่งทรัพย์สิน ที่ยึดได้ในสงคราม กลับประเทศก็ดี ทำให้เกิดมี การใช้บริการของธนาคารมากขึ้น กิจการธนาคารจึงฟื้นตัว หลังจากยุคนี้ แล้วก็มีการส่งเงิน และของมีค่า ไปยังคริสตจักรแห่งโรมมากขึ้น ทำให้ธุรกิจการธนาคารของเอกชน ในอิตาลีเจริญขึ้น
ธนาคารที่มีชื่อเสียงได้แก่ ธนาคารแห่งเวนิส (Bank of Venice) ซึ่งตั้งขึ้นประมาณ ค.ศ. 1157 รับจัดการหนี้ให้รัฐบาลที่กู้จากประชาชน ธนาคารแห่งนี้ จึงไม่มีการใช้เช็ค หรือออกตั๋วสัญญาใช้เงิน แต่ใช้รายการที่บันทึกในบัญชีโอนเงิน จนใน ค.ศ. 1587 จึงได้รับฝากเงิน
นอกจากนี้ ก็มีธนาคารแห่งบาเซโลน่า ตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1400 ธนาคารแห่งเจนัว ตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1407 ธนาคารแห่งอัมสเตอร์ดัมตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1609 ธนาคารแหล่านี้ มีส่วนช่วยเหลือพ่อค้า ในกิจการค้าทำให้เมืองต่าง ๆ ได้กลายเป็นศูนย์กลางของการค้า ในสมัยนั้น ธนาคารพวกนี้ รับฝากเงินเหรียญ ทำการโอนเงินระหว่างบัญชีของธนาคาร หรือที่เจ้าของบัญชี ออกคำสั่งจ่ายเงิน จากบัญชีที่กล่าวได้ เป็นต้น
ส่วนที่ 3 ต้นแบบธนาคารไทย
การติดต่อและค้าขายกับต่างประเทศ ที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น เป็นเหตุสำคัญ ทำให้ต่างประเทศเห็นเป็นช่องทาง ที่จะหาประโยชน์ จากการที่ประเทศไทยขาดธนาคาร ที่จะทำธุรกิจ การธนาคารพาณิชย์
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธุรกิจการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ จึงได้เข้ามาเปิดสาขา ดำเนินกิจการในประเทศไทย โดยเริ่มตั้งแต่ พุทธศักราช 2431 เป็นต้นมา
และในที่สุด สาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ ทั้ง 3 แห่ง ได้จัดพิมพ์ และนำบัตรธนาคาร เข้ามาใช้ในระบบการเงินของไทยด้วย ในระยะต่อมา
ด้วยความสำคัญของธุรกิจการธนาคาร ที่มีต่อการค้าและเศรษฐกิจของประเทศนั้น พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย เสนาบดี กระทรวงพระคลังมหาสมบัติในขณะนั้น จึงทรงคิดตั้ง ธนาคารของชาติ หรือธนาคารกลางขึ้นก่อน เพื่อที่จะให้เป็น ตัวแทนทางการเงินของรัฐบาล แล้วยังจะทรงให้ ธนาคารของชาตินี้ เป็นผู้พิมพ์ธนบัตรของประเทศขึ้น และนำออกใช้อีกด้วย แต่ก็ต้องทรงระงับความคิดนี้ไว้
เนื่องจากบรรดาที่ปรึกษาทางการเงิน ชาวต่างประเทศพากันคัดค้าน พระองค์จึงทรงหันไป ปรับปรุงมาตราหน่วยเงินของไทย ให้เป็นระเบียบ แต่เพียงประการเดียว โดยทรงพิจารณา ลดหน่วยเงินตราของไทยลง จากเดิม 9 หน่วย ได้แก่ ชั่ง ตำลึง บาท สลึง เฟื้อง ซีก เสี้ยว อัฐ และโสฬส ให้เหลือเพียง 2 หน่วย ได้แก่ “บาท” และ “สตางค์” อันเป็นระบบทศนิยม ทำให้สะดวกแก่การคิดคำนวณ และลงบัญชี ในพุทธศักราช 2441 พร้อมกับได้เริ่มติดต่อกับประเทศอังกฤษ เพื่อพิมพ์ธนบัตร เข้ามาใช้ใน พุทธศักราช 2445
ระบบการเงินของไทย จึงประกอบด้วย เหรียญกษาปณ์ และธนบัตร เมื่อได้จัดรูปแบบของ ระบบเงินตราของประเทศเรียบร้อยแล้ว จึงประกาศยกเลิกการใช้เงินพดด้วง ชำระหนี้ตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม พุทธศักราช 2447
ส่วนทางด้านความคิด จะจัดตั้งธนาคารขึ้นนั้น เมื่อยังไม่สามารถ จัดตั้งธนาคารของรัฐขึ้นได้ กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย จึงทรงหันไปพิจารณา ธนาคารของเอกชน หรือธนาคารพาณิชย์ ซึ่งทรงตระหนักดี ถึงความจำเป็นของประเทศ ที่ต้องมีการค้าขายกับต่างประเทศ ซึ่งมีปริมาณสูงขึ้นอยู่ตลอดเวลา
นอกจากนี้ ยังทรงเห็นถึงความยากลำบาก ของบรรดาพ่อค้าชาวไทย และจีน ที่ต้องติดต่อขอใช้บริการจาก สาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ ที่มีอยู่ในขณะนั้น แต่ก็มิได้รับความสะดวก ประกอบกับ การที่ประเทศไทยยังไม่มีธนาคารพาณิชย์ ที่เป็นของคนไทยมารองรับ
พระองค์จึงทรงตัดสินพระทัย ที่จะจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ขึ้นมาให้จงได้ จึงทรงเห็นว่า น่าที่จะทดลองดำเนินงานดูก่อน ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ มีความรู้ในการบริหารธนาคารขึ้นแล้ว เมื่อจะขยายกิจการให้ใหญ่โตต่อไป ก็จะสามารถนำประสบการณ์ ไปใช้แก้ปัญหาต่าง ๆ ได้
ที่สำคัญคือ เป็นการฝึกให้ชาวไทย มีความรู้ในด้านการบริหารธนาคารพาณิชย์อีกด้วย พระองค์ทรงจัดหาเงินลงทุนได้ จำนวน 30,000 บาทแล้ว ก็ทรงเตรียมการจัดตั้ง ธนาคารพาณิชย์ขนาดเล็ก โดยยื่นขออนุญาตจัดตั้ง “บุคคลัภย์” ขึ้น เริ่มสั่งซื้อกระดาษ เครื่องมือ เครื่องใช้ต่าง ๆ ติดต่อขอเช่าตึกแถวของพระคลังข้างที่ ตำบลบ้านหม้อ พร้อมทั้งจัดหาพนักงาน รวมทั้งผู้จัดการไว้ เตรียมทำพิธีเปิดดำเนินการต่อไป เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว
ส่วนที่ 4 ไทยพาณิชย์กับการก้าวสู่ยุคปัจจุบัน
ภาพพจน์ของธนาคารไทยพาณิชย์ ที่ปรากฏในความรู้สึกของสาธารณชน คือ ความมั่นคง มีผู้บริหารมืออาชีพ มีความเจริญเติบโตสูง เป็นผู้นำทางเทคโนโลยีการธนาคาร ในขณะที่มุ่งเน้น การนำเทคโนโลยีใหม่ มาบริการแก่ลูกค้า แต่ก็สามารถรักษาผลตอบแทนที่ดีแก่ผู้ถือหุ้น ลูกค้าและพนักงานของธนาคาร
การนำเทคโนโลยี เข้ามาให้บริการแก่ลูกค้า นอกจากจะอำนวยความสะดวกรวดเร็วแล้ว ยังคำนึงถึงการเพิ่มคุณค่า ในบริการที่ให้แก่ลูกค้า และการแพร่ขยายธุรกิจไป ในด้านต่าง ๆ อีกด้วย ทั้งนี้ นับตั้งแต่ธนาคาร ได้นำระบบบริการเงินด่วน ATM เข้ามาบริการแก่ลูกค้า เป็นธนาคารแรกในประเทศไทยแล้ว ก็ดูเหมือนว่า เป็นก้าวสำคัญ ของการเปลี่ยนแปลงของการธนาคารพาณิชย์ไทย ไปสู่การเป็นธนาคารใน ระบบธนาคารพาณิชย์ สมัยใหม่ จากนั้นธนาคาร ได้สร้างศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ ไทยพาณิชย์ขึ้น เพื่อเก็บสำรองข้อมูล และเทคโนโลยีเพื่อพัฒนา และให้บริการแก่ลูกค้า และยังใช้เป็นข้อมูล ในการตัดสินใจด้านการบริหารที่มีประสิทธิภาพอีกด้วย
พิพิธภัณฑ์ธนาคารไทย ธนาคารไทยพาณิชย์
เลขที่ 9 ถนนรัชดาภิเษก เขตจตุจักร
กรุงเทพมหานคร 10900
โทร. 0-2544-5111, 0-2544-4525-7
โทรสาร 0-2544-4068, 0-2544-2544
www.thaibankmuseum.or.th
email : webmaster@thaibankmuseum.or.th
เวลาเข้าชม
วันจันทร์ - วันศุกร์ (ยกเว้นวันหยุดธนาคาร)
เวลา 10.00 - 17.00 น.
การขอเข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ธนาคารไทย
กรณีชมทั่วไป สามารถเข้ามาเดินชมได้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
กรณีเยี่ยมชมเป็นหมู่คณะ โปรดโทรศัพท์ติดต่อล่วงหน้า เพื่อตรวจสอบเวลาว่าง ไม่ให้ซ้อนกับคณะอื่นๆ และทำจดหมายส่งไปรษณีย์ หรือส่งโทรสารมาถึง ผู้จัดการบริหารงานพิพิธภัณฑ์ ตามที่อยู่ด้านบน เพื่อพิพิธภัณฑ์จะจัดวิทยากรต้อนรับ และนำชมเป็นหมู่คณะ
แผนที่
ขอขอบคุณข้อมูลจาก พิพิธภัณฑ์ธนาคารไทย
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.thaibankmuseum.or.th/