IELTS คืออะไร ควรเตรียมสอบ IELTS อย่างไรดี
ทีมงานทรูปลูกปัญญา
|
18 ม.ค. 65
 | 23.2K views



สวัสดี ชาว Trueplookpanya ทุกคนครับ วันนี้พี่ไอเอลมีสาระน่ารู้เกี่ยวกับการสอบ IELTS  (ไอเอล) หรือ ข้อสอบวัดความสามารถทางภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนที่ต้องการศึกษาต่อยังต่างประเทศครับ โดยผลการทดสอบ IELTS นี้มีความเป็นสากลและความน่าเชื่อถือเป็นอย่างมากจากการประกาศรับสมัครเข้า เรียนของมหาวิทยาลัยทั่วโลกครับ เรามาทำความรู้จักการสอบไอเอลกันดีกว่าครับว่า IELTS คืออะไร..

 IELTS ย่อมาจากคำว่า International English Language Teaching System ซี่งเป็นการทดสอบความสามารถในการสื่อสารทางภาษาอังกฤษในเชิงวิชาการ ข้อสอบจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท นั่นก็คือ Academic และ General Training โดย


-ข้อสอบ Academic ใช้สำหรับการสมัครเข้าศึกษาต่อในหลักสูตรนานาชาติ หรือศึกษาต่อในต่างประเทศ
-ข้อสอบ General Training ใช้สำหรับการสมัครทำงาน หรือ ขอ Work Permit ในต่างประเทศ
ซึ่งข้อสอบ Academic Module จะแบ่งออกเป็น 4 ทักษะ

1. ทักษะการฟัง Listening Test
ข้อสอบ Listening จะใช้เวลา 40 นาที ข้อสอบแบ่งออกเป็น 4 Parts ทั้งหมด 40 คำถาม หลังจากสอบแล้ว ผู้สอบจะมีเวลาเพิ่มเติม 10 นาที ในการคัดลอกคำตอบลงกระดาษคำตอบ

2. ทักษะการอ่าน Reading Test
ข้อสอบ Reading Test จะใช้เวลาสอบ 60 นาที ข้อสอบจะมี 3 passages แต่ละ passage จะมีความยาวโดยประมาณ 700-800 คำ ซึ่งข้อสอบจะนำมาจาก หนังสือพิมพ์ นิตยสาร งานวิจัยทางวิชาการ หรือ หนังสือเรียน โดยคำถามจะมีทั้งหมด 40 คำถาม
*ข้อสอบ Reading จะไม่มีเวลาเพิ่มเติมให้คัดลอกคำตอบลงกระดาษคำตอบ (ตรงนี้ห้ามลืม)

 

3. ทักษะการเขียน Writing Test
ข้อสอบ Writing จะใช้เวลาสอบ 60 นาที ข้อสอบจะมี 2 ส่วน นั่นก็คือ
3.1 Writing Task 1 เขียนอย่างน้อย150 คำ
ชุดคำถามส่วนนี้ จะเป็นการเขียนอธิบายและสรุป Graphs & Diagrams
3.2 Writing Task 2 เขียนอย่างน้อย 250 คำ
ชุดคำถามส่วนที่ 2 จะเป็นการเขียนตอบคำถาม โดยคำถามส่วนมากจะเป็นคำถามเชิงวิเคราะห์ หรือ การแสดงความคิดเห็น ตัวอย่างคำถามเช่น

The threat of nuclear weapons maintains world peace. Nuclear power provides
Cheap and clean energy.
The benefits of nuclear technology far outweigh the disadvantages.
Do you agree or disagree?

 

4. ทักษะการพูด Speaking Test
ข้อสอบ Speaking Test จะประกอบไปด้วย 3 Parts ซึ่งจะใช้เวลาโดยประมาณ 11-14 นาที
คำถามชุดแรกจะเป็นคำถามเกี่ยวกับ คำถามทั่วไป อาจจะเป็นคำถามเกี่ยวกับ ตัวผู้สอบ ครอบครัว ชีวิตประจำวัน ซึ่งจะเป็นการสนทนาระหว่าง Examiner กับ ผู้สอบ ส่วนนี้จะใช้เวลาประมาณ 4 นาที

คำถามชุดที่ 2 ผู้สอบจะได้รับการ์ด Topic จากนั้นผู้สอบจะมีเวลา 1 นาทีในการเตรียมคำตอบ ในการตอบผู้สอบจะต้องอธิบายแสดงความเห็นเชิงลึก เกี่ยวกับหัวข้อที่ได้เป็นเวลาโดยประมาณ 2 นาที

คำถามชุดที่ 3 ข้อสุดท้าย จะเป็นการตอบคำถามและสนทนาระหว่าง Examiner และผู้สอบในเชิงลึก หรือคำถามที่ more abstract เพื่อแสดงทักษะความสามารถในการสื่อสารและความคิด ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 4-5 นาที

ทั้งหมดนี้ก็คือข้อสอบ IELTS

ควรเรียนเตรียมตัวสอบ IELTS อย่างไร ให้ได้ผลสอบตามที่ต้องการ?

ขั้นตอนแรกเลยก็คือ ทำความเข้าใจ โดยตั้งคำถามว่า…
1. ข้อสอบคืออะไร
2. ข้อสอบต้องการวัดอะไรจากผู้สอบ
3. ตัวผู้ที่จะสอบเองมีทักษะต่างๆที่ข้อสอบต้องการหรือไม่
- ถ้ามีควรเตรียมตัวอย่างไรให้ได้คะแนนตามที่ต้องการ
- ถ้าไม่มี ควรเริ่มต้นตรงไหน และเริ่มต้นอย่างไร

มาตอบคำถามทีละข้อ

ตอบคำถามข้อที่ 1
ข้อสอบ IELTS เป็นข้อสอบที่ต้องการวัดทักษะทางภาษาอังกฤษในเชิงวิชาการ (Academic English) ซึ่งจะมีความแตกต่างจากภาษาอังกฤษทั่วไป (General English) ซึ่งยกตัวอย่างง่ายในภาษาไทย เช่น ความแตกต่างระหว่าง การเขียนจดหมายหรือ email ถึง เพื่อน และ การเขียนจดหมายถึงหน่วยงานราชการ หรือ การเขียนรายงานส่ง ซึ่งในฟอร์มนี้ จะมีโครงสร้าง ลักษณะภาษา และคำศัพท์ที่ใช้แตกต่างจากการใช้ภาษาในชีวิตประจำวัน และสิ่งที่ข้อสอบ IELTS ต้องการจะวัดคือ ฟอร์มราชการ หรือ วิชาการนั่นเอง

ส่วนการอ่าน แน่นอน บทความต่างๆจะมาจาก สื่อ หรือสิ่งพิมพ์ ที่มีการใช้คำศัพท์ที่ยาก มีการวางโครงสร้าง ไอเดีย รูปแบบคำถามจะไม่ใช่ลักษณะ ที่เราจะได้คำตอบโดยตรงจากที่สิ่งอ่าน แต่จะต้องการการคิดวิเคราะห์อีกด้วย ในส่วนของการอ่าน เนื่องจากจะต้องอ่านทั้งหมด 3 passages ในเวลาจำกัด 1 ชั่วโมงพร้อมกับตอบคำถาม 40 ข้อ และสิ่งที่จะต้องอ่านต้องมีการวิเคราะห์ เข้าใจรูปแบบโครงสร้างของ Academic Journals ควรเริ่มอ่านอย่างไร ไม่รู้จักคำศัพท์ทำอย่างไร และวิธีการ short notes ควรทำอย่างไร ซึ่งสิ่งที่ผู้สอบต้องเรียนรู้ก็คือ Reading strategy หรือ กลยุทธ์ในการอ่าน ยกตัวอย่างเช่น เทคนิคที่เรียกว่า Reading with research questions นั่นก็คือ การอ่านเพื่อหาคำตอบ ซึ่งหมายความว่า ผู้สอบจะต้องอ่านและทำความเข้าใจกับคำถามเป็นอย่างดี เพื่อที่จะรู้ว่า โดยคร่าวๆแล้ว passage ที่กำลังจะอ่านเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร และจะต้องอ่านเพื่อหาคำตอบเหล่านั้นว่าอยู่ที่ไหน

ส่วนพาร์ทที่ถือว่าเป็น Highlight ของข้อสอบ สำหรับนักเรียนไทยที่ไม่ได้เรียนหลักสูตร Inter หรือ เรียนภาษามาจากต่างประเทศ นั่นก็คือ speaking test การให้คะแนนจะแบ่งออกเป็น 4 ส่วน นั่นก็คือ
1. Grammar
2. Pronunciation
3. Vocabulary
4. Fluency

ซึ่งส่วนที่จะทำให้นักเรียนไทยได้คะแนนน้อยก็คือ Pronunciation เนื่องเรื่องคำศัทพ์คนไทยได้ถูกสอนให้ท่องมาตั้งแต่เด็ก แต่ลืมไปว่ามันออกเสียงอย่างไร และใช้ยังไงในประโยค ซึ่งบางทีพูดไป Examiner ไม่เข้าใจ คะแนน Pronunciation ก็ลดลงไป และคำศัพท์หรูๆ ที่เราใช้ในการตอบก็จะไม่ได้คะแนน เนื่องจาก ไม่เข้าใจ ยกตัวอย่าง คำง่ายๆ เช่น “Task” จะต้องออกเสียงตัว -sk ที่เรียนว่า final sound (ลองฝึกดู หรือลองถามฝรั่งดูว่าออกเสียงถูกหรือปล่าว) ลองคำศัพท์ยาวๆ ซักคำ เช่น “sophisticated” และต้องนำไปใช้ ให้ถูก tense อีกด้วย นอกจากนี้ Technique ต่างๆที่จะช่วยเพิ่มคะแนน นั่นก็คือ การใช้รูปแบประโยคในการตอบ หรือ ใช้ Sexy words ในการตอบ ยกตัวอย่างเช่น เราจะบอกว่า ชอบอ่านหนังสือประเภท Sci-Fi

โดยทั่วไปก็จะตอบ ว่า I like to read Sci-Fi journals.
แต่ลองดู Sexy sentences ของเรา There is nothing more than Sci-Fi journals that I normally spend my time with. ตรงนี้จะเป็นการเพิ่มคะแนนในการใช้ Grammar และ Fluency

ตอบคำถามข้อที่ 2
เนื่องจากกลุ่มคนที่สอบ IELTS โดยมากมีวัตถุประสงค์ที่จะนำไปใช้ในการศึกษาต่อ ซึ่งแน่นอน ข้อสอบต้องการวัดระดับความสามารถภาษาอังกฤษในการสื่อสารเชิงวิชาการ ทั้งการฟัง พูด อ่าน และ เขียน และด้วย IELTS ตัว “I” stands for “International” ดังนั้น สิ่งผู้สอบจะต้องมีไม่ใช่เพียงแค่ Grammar, Vocabulary, Academic skills เท่านั้น แต่ความรู้รอบตัวเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกนั้น มีความจำเป็นในการทำคะแนนให้ดี ซึ่งอาจจะนำมาใช้ในการประกอบการทำข้อสอบ Writing หรือ Speaking และนั่นเองจะส่งผลให้ opinion ของผู้สอบ strong และถ้าหากตอบโจทย์ ก็จะทำให้ได้คะแนนที่ดีสำหรับ Task Response Criteria
สรุปก็คือ ข้อสอบต้องการวัดทักษะภาษาอังกฤษในระดับสูงหรือฟอร์มวิชาการ และความรู้รอบตัวเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนโลก ที่เราจะนำมาใช้ในการสอบ

ตอบคำถามข้อที่ 3
วิธีการวัดว่าเราพร้อมที่จะทำข้อสอบมีหลายวิธี เช่น
1. การหาข้อสอบ IELTS เก่าๆมาลองทำดู ว่าทำได้หรือไม่
2. การทำข้อสอบวัดระดับ ของสถาบันที่เปิดสอน IELTS (อันนี้ต้องสอบถามว่า คนที่จะตรวจขอสอบให้เรา เป็นใคร มีความรู้เรื่อง IELTS มากน้อยแค่ไหน ถ้าจะให้ดี ถามว่าเป็น Examiner หรือเปล่า ต้องนั้น เราจะได้คะแนนที่ค่อนข้าง accurate)
3. วิธีที่ 3 คือ หาตัวอย่างของคำตอบ IELTS ใน internet ซึ่งจะมีว่า เขียนแบบไหน ได้คะแนนเท่าไหร่ แล้วลองถามตัวเองว่า “เราเขียนแบบนั้นได้หรือไม่?”
4. วิธีนี้ชัดเจนที่สุด แต่ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง นั่นก็คือ ไปลองสอบจริง ซึ่งค่าสอบสำหรับ IDP อยู่ที่ 5,900 บาท และ British Council อยู่ที่ 6,300 บาท

หลังจากการประเมินตนเองแล้ว ถ้าคำตอบคือ

“เราทำได้” สิ่ง ที่ต้องทำคือ ฝึกฝนข้อสอบ ให้คุ้นเคยกับคำถามรูปแบบต่างๆ หลังจากนั้น การเรียนหลักสูตรเตรียมตัวสอบ IELTS ที่เน้น เทคนิคต่างๆในการเพิ่มคะแนน จะช่วยได้อย่างมากในการทำคะแนนให้ได้ดี แต่เน้น ว่าต้องมีทักษะทางภาษาที่ดีอยู่แล้วในเรื่องของ Grammar และ Vocabulary การเรียนคอร์สพวก Tip และ Technique จะทำให้มีโอกาสเพิ่มคะแนน IELTS 6.5-7.0 ได้ในเวลาจำกัด
แต่ถ้าคำตอบ คือ  “ยังไม่พร้อม”
สิ่งเดียวที่ทำได้คือ การเรียนเพื่อเตรียมตัว เริ่มจาก การปรับพื้นฐานเข้าสู่ Academic และ เข้าสู้ตัวข้อสอบเมื่อพร้อม หรือถ้ามีเวลาจริงๆ (1-2 ปี) ก็ลองอ่านและเรียนด้วยตนเอง ซึ่งจะยากตรงที่ “แล้วใครจะมาตรวจให้ว่าถูกหรือผิด” หรือ “หรือสิ่งที่เราเข้าใจถูกต้องแล้วหรือ” เพราะฉะนั้น การที่จะสามารถทำข้อสอบ IELTS ได้นั้น จะต้องมีการเตรียมตัวอย่างเป็นขั้นตอน และระบบ เพื่อให้มั่นใจว่าเราพร้อมจริงๆสำหรับการสอบ

ขอบคุณนานาสาระความรู้จากwww.ielts.in.th