ชนชาติไทยเป็นชาติที่มีพระมหากษัตริย์ปกครองมายาวนานและต่อเนื่อง แม้จะมีการผลัดเปลี่ยนราชวงศ์บ้าง แต่ก็ไม่เคยว่างกษัตริย์ และทุกพระองค์ก็ได้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจเพื่อบ้านเมืองและประชาชนต่างๆ กันไปตามความจำเป็นหรือเหมาะสมสำหรับยุคสมัยนั้นๆ ไพร่บ้านพลเมืองเองก็มีความจงรักภักดีและเทิดทูนพระมหากษัตริย์มาโดยตลอด และเนื่องในมหามงคลวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๙ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์จะ ครบ ๖๐ ปี ณ วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๔๙ อันจะนับได้ว่าทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลกด้วยเมื่อเทียบกับบรรดากษัตริย์ที่ทรงเป็นประมุขในปัจจุบัน สถานีวิทยุ อ.ส.ม.ท. จึงจะขออัญเชิญพระราชกรณียกิจนานัปการอันกอปรด้วยพระ-ปรีชาสามารถ และพระเมตตา ที่ได้ทรงปฏิบัติเพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกรชาวไทย ตลอดจนความจงรักภักดีที่ทวยราษฎรมีต่อพระองค์มาเผยแพร่เพื่อเฉลิมพระเกียรติตลอดปีแห่งการเฉลิมฉลองดังต่อไปนี้
ครองราชย์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติสืบแทนสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช เมื่อ วันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙ ขณะทรงมีพระชนมายุเพียง ๑๙ พรรษา และยังทรงมีพระราชภารกิจด้านการศึกษาอยู่ จึงยังไม่สามารถบริหารราชการแผ่นดินด้วยพระองค์เอง รัฐสภาจึงได้แต่งตั้งคณะผู้สำเร็จราชการขึ้นประกอบด้วยสมเด็จกรมพระยาชัยนาทนเรนทร และพระยามานวราชเสวี
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงอำลาประชาชนชาวไทยเสด็จกลับไปทรงศึกษาต่อยังประเทศสวิทเซอร์แลนด์อีกครั้งในเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ ได้ทรงศึกษาวิชาการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวิชารัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ กฎหมาย และวิชาอักษรศาสตร์จนทรงมีพระปรีชาสามารถในภาษาต่างประเทศหลายภาษา เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมันและภาษาลาติน เพื่อเตรียมพระองค์ให้พร้อมในอันที่จะรับพระราช-ภาระปกครองและบริหารประเทศสืบต่อไป ซึ่งจากวิชาการต่างๆ ที่ทรงร่ำเรียน เมื่อได้มาผนวกเข้ากับพระ-ปรีชาสามารถส่วนพระองค์ พระอัจฉริยภาพในศิลปะหลายแขนง และน้ำพระราชหฤทัยที่งดงามเปี่ยมล้นไปด้วยความเมตตาที่ทรงได้รับการอบรมเลี้ยงดูจากสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเป็นอย่างดีมาโดยตลอด ทำให้พระราชกรณียกิจที่ทรงปฏิบัติเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตพสกนิกรของพระองค์ได้ผลดีอย่างยั่งยืนเป็นที่ประจักษ์โดยทั่วไปในกาลต่อมา
ระหว่างที่ประทับศึกษาในต่างประเทศนั้นเอง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพบหม่อมราชวงศ์-สิริกิติ์ กิติยากร ซึ่งภายหลังได้ทรงหมั้นเมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๒ ณ เมืองโลซานน์ และต่อมาในวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๓ ก็ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ณ พระตำหนักสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ในวังสระปทุม ในการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสนี้ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ขึ้นเป็นสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์
ในวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามโบราณราชประเพณี (เราเรียกวันนี้ว่าวันฉัตรมงคล) ทรงรับการเฉลิมพระบรมนามาภิไธยว่า “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร์ สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร” พร้อมทั้งพระราชทานพระปฐมบรมราชโองการว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” และในโอกาสนั้นได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ ขึ้นเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินี ทรงมีพระราชโอรสธิดา ๔ พระองค์คือ
๑. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี
๒. สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ์ ต่อมาทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ์ สยามมกุฏราชกุมาร
๓. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา กิติวัฒนาดุลโสภาคย์ ต่อมาทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติสยามบรมราชกุมารี
๔. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี
ทุกพระองค์ล้วนทรงมีส่วนช่วยให้พระราชภารกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการพัฒนาประเทศและคุณภาพชีวิตของพสกนิกรสำเร็จลุล่วงโดยรวดเร็ว
พระร้อยรัดดวงใจไทยทั้งผอง
ถ้าจะกล่าวว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีน้ำพระราชหฤทัยผูกพันและห่วงใยพสกนิกรไทยมาตั้งแต่ก่อนเสด็จฯ ครองราชย์แล้ว ก็คงจะไม่เป็นการกล่าวที่เกินความจริง เพราะนอกจากจะเห็นได้จากการโดยเสด็จฯ สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช ออกมาเยี่ยมเยียนราษฎร ทั้งในกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียงแล้ว ในภายหลังผู้คนทั่วไปยังได้มีโอกาสรับทราบข้อความในบันทึกประจำวันที่ได้ทรงพระราชนิพนธ์ไว้เมื่อก่อน และระหว่างเดินทางจากสยามสู่สวิทเซอร์แลนด์เพื่อทรงศึกษาต่อ และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราช-ทานเป็นการเฉพาะแก่ “วงวรรณคดี” ซึ่งจะขออัญเชิญมาดังนี้
“วันที่ ๑๙ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๘๙ วันนี้ถึงวันที่เราจะต้องจากไปแล้ว พอถึงเวลาก็ลงจากพระที่นั่งพร้อมกับแม่ ลาเจ้านายฝ่ายใน ณ พระที่นั่งชั้นล่าง แล้วก็ไปยังวัดพระแก้วเพื่อนมัสการลาพระแก้วมรกตและพระภิกษุสงฆ์ ลาเจ้านายฝ่ายหน้า ลาข้าราชการทั้งไทยและฝรั่งแล้วไปขึ้นรถยนต์ พอรถแล่นไปได้ไม่ถึง ๒๐๐ เมตร มีหญิงคนหนึ่งเข้ามาหยุดรถ แล้วส่งกระป๋องให้เรา ราชองครักษ์ไม่แน่ใจว่าจะมีอะไรอยู่ในนั้น บางทีจะเป็นลูกระเบิด เมื่อเปิดดูภายหลังปรากฏว่าเป็นท๊อฟฟี่ที่อร่อยมาก ตามถนนผู้คนช่างมากมายเสียจริงๆ ที่ถนนราชดำเนินกลาง ราษฎรเข้ามาใกล้จนชิดรถที่เรานั่ง กลัวเหลือเกินว่าล้อรถของเราจะไปทับแข้งขาใครเข้าบ้าง รถแล่นฝ่าฝูงคนไปได้อย่างช้าที่สุด ถึงวัดเบญจมบพิตรรถแล่นได้เร็วขึ้นบ้าง ตามทางที่ผ่านมาได้ยินเสียงใครคนหนึ่งร้องขึ้นมาดังๆว่า “อย่าละทิ้งประชาชน” อยากจะร้องบอกเขาลงไปว่า “ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะละทิ้งประชาชนอย่างไรได้” แต่รถวิ่งเร็วและเลยไปไกลเสียแล้ว”…
เป็นที่น่าประหลาดว่าต่อมาภายหลังพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงได้พบชายผู้ที่ร้องตะโกนนั้นขณะที่เขาเป็นชาวนาอยู่ต่างจังหวัด ชายผู้นั้นได้กราบบังคมทูลฯว่า ตอนนั้นเขาเป็นพลทหาร และที่ร้องไปนั้นเพราะเขารู้สึกว้าเหว่และใจหายที่เห็นพระเจ้าแผ่นดินจะเสด็จจากเมืองไทย กลัวจะไม่เสด็จกลับมาอีกเพราะคงจะทรงเข็ดเมืองไทย เห็นเป็นเมืองที่น่ากลัว น่าสยดสยอง เขาดีใจที่ได้มาเฝ้าอีก
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชกระแสรับสั่งว่า “เขาเป็นผู้หนึ่งที่ทำให้พระองค์เสด็จกลับพระนคร”
ความผูกพัน ความห่วงใยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีต่อพสกนิกร ความจงรักภักดี ความเทิดทูนที่ราษฎรทรงมีต่อพระองค์ มีอยู่เช่นนี้ จึงขอให้ชาวไทยทุกคนพร้อมใจกันน้อมเกล้าฯ ถวายพระพร ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน เพื่อพสกนิกรชาวไทยได้ร่มเย็นภายใต้พระบารมีตลอดไป
เรียบเรียงจาก - หนังสือพระมหาราชาผู้ปกครองแผ่นดินโดยธรรม : ธรรมสภา
- หนังสือ 200 ปี มหาจักรีบรมราชวงศ์ : วิวัฒนาการของระบบข้าราชการพลเรือน
- เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้านการสื่อสาร : 2539
พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
…ความซื่อสัตย์สุจริตนั้น ขอวิเคราะห์ศัพท์ว่า ความตรงไปตรงมาต่อสิ่งทั้งหมดน้อยใหญ่ ส่วนงานของราชการ ส่วนงานของตัวเองเป็นส่วนตัว ทั้งหมดคือความซื่อสัตย์สุจริตและคำว่าสุจริตนี้ก็มาจากคำว่าการท่องเที่ยวของจิตในทางที่ดี หรือคิดให้ดี คิดให้สุจริตทั้งฉลาดด้วย ทั้งไม่เบียดเบียนผ฿อื่นหรือการงานของตัว ทั้งไม่เบียดเบียนส่วนรวมด้วย จึงจะเป็นผู้สุจริต คำว่าสุจริตนี้คงฟังจนเบื่อแล้วว่าต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต แต่ถ้าไปคิดว่าคำสุจริตนี้ แปลว่าอะไร ก็อาจทำให้ท่านทำหน้าที่ได้อย่างสะดวกใจขึ้น เพราะว่าคำว่าสุจริตนั้นไม่ใช่คำที่ล้าสมัย สิ่งใดที่สำเร็จก็เพราะว่าสุจริต เพราะว่าคิดถูก ถ้าคิดไม่ถูกแล้วอาจได้ผลชั่วแล่น และในที่สุดก็พัง ถ้าตัวเองไม่พัง บ้านเมืองก็พัง ถ้าบ้านเมืองพังเราแต่ละคนก็พัง…
(พระราชทานแก่ผู้บังคับบัญชา อาจารย์ และนายทหารนักเรียนโรงเรียนเสนาธิการทหารบก ชุดที่ ๕๗ เมื่อวันอังคารที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๒๒)
ข้อมูลจาก บทความพิเศษประกอบรายการของสถานีวิทยุ อสมท เรื่อง “ในหลวงของเรา” ผลิตโดย งานบริการการผลิต ส่วนสนับสนุนการผลิตวิทยุ ฝ่ายออกอากาศวิทยุกรุงเทพ