บั้งไฟพญานาค
วันที่ ๗ ตุลาคมนี้ เป็นวันออกพรรษา เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่ก่อให้เกิดประเพณีทางศาสนาที่สำคัญหลายประเพณีด้วยกัน ได้แก่
- พระภิกษุสงฆ์จะกระทำพิธีปวารณาต่อกัน คือเปิดโอกาสให้ผู้อื่นว่ากล่าวตักเตือนด้วยความหวังดีโดยไม่โกรธเคืองกัน
- พุทธศาสนิกชนจะพร้อมกันทำบุญตักบาตรที่วัด วัดใดที่มีภูมิประเทศเป็นภูเขาสูงก็มักจะจัดให้มีพิธีตักบาตรเทโว โดยจำลองเหตุการณ์ให้ใกล้เคียงกับตำนานความเชื่อที่ว่า พระพุทธเจ้าได้เสด็จกลับจากการจำพรรษาและเทศนาโปรดพระพุทธมารดา ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และประชาชนที่ต่างก็คิดถึงพระพุทธองค์ได้ไปคอยเฝ้ารับเสด็จอยู่ที่เชิงบันไดเนรมิตรซึ๋งทอดจากเทวโลกสู่มนุษย์โลกกันมากมาย (ดูรายละเอียดจากบทความเรื่องวันออกพรรษา และ วันตักบาตรเทโว เดือนตุลาคม ๒๕๔๘ ใน Intranet)
- ในภาคของราษฎรนิยมจัดให้มีเทศน์มหาชาติ ซึ่งเป็นการเล่าเรื่องบุพจริยาของพระพุทธเจ้า เมื่อเสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดรที่ได้ทรงบำเพ็ญทานบารมีอันยิ่งใหญ่ก่อนจะมาเกิดเป็นพระพุทธเจ้า มี ๑๓ กัณฑ์ด้วยกัน รวมพันพระคาถา จึงเรียกการเทศน์แบบนี้ได้อีกอย่างหนึ่งว่าเทศน์คาถาพัน ซึ่งเชื่อกันว่าถ้าใครได้ฟังจบทั้งพันพระคาถาภายในวันเดียวจะเกิดอานิสงส์มากเช่นจะได้เกิดในศาสนาพระศรีอริยเมตไตรย, จะไม่ตกนรก จะได้เกิดในสวรรค์, จะเป็นผู้มีลาภ ยศ เป็นต้น (ดูรายละเอียดได้จากบทความเรื่องเทศน์มหาชาติ เดือนตุลาคม ๒๕๔๘ ใน Intranet)
- ก่อน ออกพรรษาหนึ่งวัน ชาวบางพลี สมุทรปราการจะจัดงานประเพณีรับบัว-โยนบัว ตามที่คนมอญกับคนไทยแต่ก่อนได้ตกลงกันไว้ว่า ก่อนออกพรรษาหนึ่งวัน คนไทยจะเตรียมดอกบัวไว้ให้คนมอญนำไปบูชาหลวงพ่อโตส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งนำไปบูชาพระคาถาพันที่วัดในวันออกพรรษา ให้คนมอญจัดเรือมารับ (ดูได้จาก Intranet) ปีนี้กำหนดจัดงานระหว่างวันที่ ๔-๕ ตุลาคม
- หลัง ออกพรรษาหนึ่งวัน เริ่มตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ไปจนถึง ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ (ระยะเวลา ๑ เดือน) ถือเป็นเทศกาลกฐิน จัดเป็นกาลทาน เพราะถ้าพ้นจากกำหนด ๑ เดือนนี้แล้วจะไม่นับว่าเป็นการทอดกฐิน ส่วนการทอดผ้าป่า ทำได้ไม่จำกัดเวลาแต่มักทอดพร้อมกับกฐิน (ดูรายละเอียดได้จากบทความเรื่องกฐินกาล เดือนตุลาคม ๒๕๔๘ ใน Intranet)
นอกจากประเพณีทางศาสนาที่ยกมานี้แล้ว ในวันออกพรรษา หรือหลังออกพรรษาหนึ่งวันของทุกๆ ปีจะเกิดปรากฏการณ์ประหลาดที่ชาวบ้านเรียกว่า “บั้งไฟพญานาค”ขึ้นในลำน้ำโขง ย่านอำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย และที่หนองน้ำขนาดใหญ่ในพื้นที่อำเภอแก่งอาฮง คือจะมีลูกไฟขนาดต่างๆ สีแดงอมชมพู หรือสีแดงทับทิมพุ่งจากใต้น้ำขึ้นสู่อากาศ โดยไม่มีเสียงและไม่มีเปลวไฟ เมื่อขึ้นสูงจากผิวน้ำ (ประมาณ ๕๐ – ๑๐๐ เมตร) แล้วก็จะดับหายไปกลางอากาศ โดยไม่ได้หรี่เล็กลง หรือตกลงมาเหมือนดอกไม้ไฟ ทั้งยังมีเรื่องแปลกกว่านี้อีกก็คือ บั้งไฟพญานาค ที่เกิดในหนองน้ำขนาดใหญ่ เช่นหนองสรวง ที่บ้านร่อนถ่อน ตำบลจุมพล อำเภอแก่งอาฮง สีของลูกไฟที่พุ่งจากใต้น้ำกลับเป็นสีเขียวสว่างไสว ไม่ได้สีแดงอมชมพูเหมือนที่เกิดที่อื่น ชาวบ้านเชื่อกันว่านั่นเป็นเพราะแก่งอาฮงเป็นเมืองหลวงของพญานาค เป็นสะดือแม่น้ำโขง และมีถ้ำใต้น้ำที่ทะลุไปออกภูงูของลาวได้ด้วย สำหรับลูกไฟที่ผุดขึ้นมานั้น ก็เชื่อกันว่าเป็นสิ่งที่เกิดจากบรรดาพญานาคที่อยู่ในแม่น้ำโขงกระทำถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระพุทธเจ้าในโอกาสที่เสด็จจากดาวดึงส์กลับสู่โลกมนุษย์ในวันออกพรรษานั่นเอง
ความเชื่อในเรื่องพญานาคนี้ น่าจะมิได้จำกัดวงอยู่แต่ชาวหนองคายเท่านั้น ทุกที่ที่แม่น้ำโขงไหลผ่านน่าจะมีความเชื่อในทำนองเดียวกัน เพราะมีตำนานเกี่ยวกับพญานาคและแม่น้ำโขงบอกเล่าเรื่องราวไว้มากมาย เช่น ตำนานสุวรรณโคมคำบอกเล่าถึงกำเนิดแม่น้ำโขงไว้ว่า เกิดจากพญานาคที่เมืองหนองแส ประเทศจีนทะเลาะกัน พวกหนึ่งต้องหลบหนีลงใต้ โดยเวลาที่อพยพนั้น หน้าอกของนาคไถไปกับแผ่นดินทำให้เกิดเป็นร่องน้ำใหญ่ก็คือแม่น้ำโขง อย่างแก่งหลี่ผีที่ขวางกั้นลำน้ำโขงทางตอนใต้สุดของประเทศลาวนั้น ก็เชื่อกันว่าเป็นฝายที่นาคทำขึ้น ในหนังสือไตรภูมิพระร่วงยังได้กล่าวถึงนาคว่า มีปราสาทราชวังอันวิจิตรพิสดารลึกลงไปใต้ดิน ๑ โยชน์ หรือ ๑๖ กิโลเมตรเป็นที่อยู่ จึงไม่น่าแปลกใจที่ทั้งชาวไทยและชาวลาวสองฝั่งแม่น้ำโขงจะไม่ค่อยสบายใจนักกับการที่มีใครบางคนมาตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค ที่พวกตนต่างเชื่อถือศรัทธามานานนับร้อยปี
อย่างไรก็ตาม ก็มีข้อมูลจากงานวิจัย เกี่ยวกับปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค ระหว่างปี ๒๕๓๖-๒๕๔๑ ของนายแพทย์มนัส กนกศิลป์ ว่า มีความสัมพันธ์อย่างแนบแน่นกับการเปลี่ยนแปลงส่วนประกอบของอากาศระดับชิดผิวโลก จากอิทธิพลแรงโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์ โลก ดวงจันทร์ และพลังงานรังสีจากดวงอาทิตย์ และเมื่อดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์อยู่ในตำแหน่งที่ก่อให้เกิดส่วนประกอบอากาศใหม่ที่ผิวโลก ที่สามารถทำปฏิกิริยากับฟองแก๊สธรรมชาติที่มีขนาดและส่วนประกอบที่เหมาะสมผุดขึ้นแทบทุกวัน ลุกติดเป็นดวงไฟ ณ ตำแหน่งและเวลาเดิม ขณะโลกขยับเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ โดยจะพบได้ ๑-๓ วันในช่วงเดือนมีนาคม- พฤษภาคม และช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม อีก ๒-๕ วัน ส่วนวันที่จะพบจำนวนลูกไฟมากที่สุดคือขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑ หรือ แรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ แต่ก็คาดวันแน่ไม่ได้ แต่สำหรับลุ่มแม่น้ำโขงนี้มีระบบนิเวศน์ที่มหัศจรรย์ และจังหวัดหนองคายเป็นแห่งเดียวในโลกที่เกิดบั้งไฟพญานาคจำนวนมาก และกำหนดวันได้แน่นอนมาเป็นเวลานับร้อยปี
เกร็ดเรื่อง
คนไทยเรานั้นนอกจากจะได้รับวัฒนธรรมและคติความเชื่อต่างๆ จากพราหมณ์ และอินเดียมาเป็นเวลาช้านานแล้ว คนไทยส่วนใหญ่ยังได่ยอมรับนับถือพระพุทธศาสนาอีกด้วย จึงทำให้พลอยได้รับเรื่องราวคติความเชื่อเกี่ยวกับนาค หรือพญานาคไว้ไม่น้อย เช่น อินเดียมีคติความ เชื่อว่านาคเป็นพาหนะของพระพิรุณ ทำหน้าที่ให้น้ำตามคำสั่ง เราก็มีการทำนายปริมาณน้ำจะมากจะน้อยในแต่ละปีด้วยการดูว่า “นาคให้น้ำ” กี่ตัว ถ้านาคให้น้ำตัวเดียว น้ำจะมาก แต่ถ้าปีไหนนาคให้น้ำหลายตัว ยิ่งมากตัว น้ำก็ยิ่งน้อยเพราะเกี่ยงกัน หรือแต่ละตัวกลืนน้ำไว้ในท้องมาก ทางฮินดูก็มีคติความเชื่อว่านาคหรือพญานาคเป็นสะพานเชื่อมโยงระหว่างสวรรค์กับโลกมนุษย์ เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าเสด็จกลับจากโปรดพระพุทธมารดา ก็เสด็จจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์โดยบันไดเนรมิตรที่มีพญานาคหนุนบันไดไว้ เราจึงมีการสร้างนาคสะดุ้งไว้ตามราวบันไดโบสถ์ ศาลา และพุทธสถานต่างๆ ตามคติความเชื่อนั้น
สำหรับเรื่องราวทางพระพุทธศาสนาที่มีนาคเข้ามาเกี่ยวข้องก็มีอยู่หลายเรื่อง เช่นเรื่องของพญานาคที่ชื่อ “มุจลินทร์” ซึ่งมีความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า ได้แผ่เศียรและใช้ขนดหางของตนวงรอบองค์พระพุทธเจ้าขณะประทับนั่งเสวยวิมุตติสุข ณ ร่มไม้จิก ภายหลังจากตรัสรู้ เพื่อป้องกันลมหนาวและฝนที่ตกพรำมาตลอด ๗ วันไม่ให้ต้องพระวรกาย เป็นเหตุให้ชาวพุทธสร้างพระพุทธรูปปางนาคปรกขึ้นมาบูชา
ครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนาแก่พุทธบริษัท ได้มีพญานาคตนหนึ่งแปลงกายเป็นมนุษย์มาฟังพระธรรมเทศนาอยู่ด้วย แล้วเกิดเลื่อมใสศรัทธา ขอบวชเป็นพระภิกษุ ในพุทธศาสนา อยู่มาวันหนึ่งขณะหลับ ร่างได้คืนกลับเป็นนาค และมีพระภิกษุรูปอื่นไปพบเห็นเข้า ความทราบถึงพระพุทธเจ้า จึงให้พระภิกษุที่เป็นนาคนั้นสึกออกไป นาคนั้นเสียใจมาก ได้ขอถวายคำว่า “นาค” ไว้ให้ใช้เรียกผู้ที่เข้ามาขอบวช เพื่อเป็นอนุสรณ์ในความศรัทธาของตน เหตุนี้ทำให้ทรงมีพุทธบัญญัติห้ามสัตว์เดรัจฉานบวชเป็นพระภิกษุ ดังนั้นในจำนวนข้อขัดข้องที่ทำให้บวชไม่ได้ ๘ ประการ ที่พระอุปัชฌาย์จะต้องถามผู้มาขอบวช จึงมีคำถามที่ว่า“ท่านเป็นมนุษย์หรือเปล่า” รวมอยู่ด้วย
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับพระพุทธรูปปางนาคปรก
พระพุทธรูปปางนาคปรกที่อยู่ในอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ หงายพระหัตถ์ทั้งสองวางซ้อนกันบนพระเพลา มีพญานาคแผ่พังพานปกคลุมเบื้องบนพระเศียร อันถือเป็นพระประจำวันของคนเกิดวันเสาร์นั้น มีสองแบบ คือแบบนั่งสมาธิบนขนดตัวพญานาค ดูเหมือนนาคเป็นบัลลังก์ มีสง่า เป็นพระเกียรติอำนาจของพระพุทธเจ้าได้ลักษณะเป็นอย่างพระเจ้าของพวกพราหมณ์ ซึ่งเป็นที่นิยมกันมาก กับแบบนั่งสมาธิภายในวงขนดพญานาคที่ล้อมพระวรกายไว้ถึง ๔-๕ ชั้น จนถึงพระอังสา เบื้องบนก็มีเศียรพญานาคแผ่ปกคลุม ซึ่งเป็นแบบที่นิยมสร้างน้อยกว่า หาดูได้ยาก แต่ถ้าพิจารณาดูตามตำนานคือเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จประทับเสวยวิมุตติสุข ณ ร่มไม้อชปาลนิโครธ ๗ วัน แล้วเสด็จไปประทับยังร่มไม้จิก บังเอิญฝนตกพรำไม่ขาดสายตลอด ๗ วัน พญามุจลินท์นาคราชจึงออกจากพิภพ ทำขนดล้อมพระวรกาย ๗ ชั้น แล้วแผ่พังพานใหญ่ปกคลุมเบื้องบนเพื่อไม่ให้ฝนลมหรือสัตว์เลื้อยคลานอื่นเข้ามารบกวนแล้ว แบบหลังน่าจะต้องด้วยตำนานมากกว่า
ที่มา
- ตำนานพระพุทธรูปปางต่างๆ ของพระธรรมโกศาจารย์ อนุจารีเถระ พิมพ์โดยสถาบัน ส่งเสริมพุทธศาสน์ วัดเทวราชกุญชร
- หงอนพญานาค : ธวัชชัย เพ็งพินิจ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ศูนย์หนองคาย, travel.sanook.com
ข้อมูลจาก : บทความพิเศษประกอบรายการของสถานีวิทยุ อสมท. เรื่อง "บั้งไฟพญานาค" ผลิตโดย งานบริการการผลิต ส่วนสนับสุนการผลิตวิทยุ ฝ่ายออกอากาศวิทยุกรุงเทพ