ใครที่กำลังสับสนว้าวุ่นใจ ต้องการหาทางออกให้กับปัญหาต่างๆ ในช่วงเข้าพรรษานี้ ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะปรับเปลี่ยนชีวิต คิดบวก ลองเปิดใจให้ธรรมะมาช่วยเยียวยา
ปัญหาที่ว่าแก้ยาก เหมือนโลกจะถล่มทลาย หากเรามองโลกในมุมใหม่ด้วยธรรมะ ปัญหาเหล่านั้นก็สามารถคลี่คลายได้อย่างง่ายดาย ลองมาฟังปัญหาว้าวุ่นใจต่างๆ ที่ไขข้อข้องใจโดยพระอาจารย์ ว วชิรเมธี ที่จะมาช่วยเปิดมุมมองใหม่ๆ แล้วเราจะพบว่า ปัญหาทุกอย่างอยู่ที่มุมมองของเราเองทั้งนั้น มองมุมบวก ทุกอย่างก็เป็นบวก ลองดูสิ
ท่าน ว.วชิรเมธี :
การบ้าดารานั้นเป็นธรรมดาของมนุษย์ที่จะมีกิเลส แต่ต้องแสวงหาทางสายกลางให้พบ เราทุกคนนั้นล้วนแล้วแต่มีฮีโร่ในดวงใจ มีดาราที่ชื่นชอบในดวงใจ
ถ้าเราชื่นชอบดาราคนไหน ก็จงเลือกเอาเฉพาะด้านที่ดีงามนั้นมาเป็นตัวอย่างในชีวิตเรา ไม่ใช่ว่าเขาทำอะไร เราก็ทำตามไปเสียทุกอย่าง ถ้าเช่นนั้นก็ถือว่าเป็นการทำไม่ถูกต้อง พระอาจารย์ขอให้หลักง่ายๆว่า
“หากเธอชื่นชอบในตัวของผู้ใด ก็จงซึมซับในความดีงามของเขา”
ท่าน ว.วชิรเมธี :
มนุษย์เรานั้น ทำบุญ ทำบาปมาไม่เท่ากัน คนบางคนเกิดมาพร้อมทุกอย่าง แต่เราก็ไม่ควรไปอิจฉาเขา เพราะคำว่าพร้อมทุกอย่างนั้น เป็นสิ่งที่เราเห็นเท่านั้น บางสิ่งบางอย่างที่เรามองไม่เห็น เขาอาจจะตกต่ำย่ำแย่กว่าเราก็ได้
ดังนั้น เราก็ไม่ควรจะมานั่งดูถูกตัวเอง ธรรมดาของธรรมชาตินั้น มักจะจัดสรรให้ทุกคนมีดีในตัวเสมอ เราควรจะค้นหาดีในตัวเองให้พบ เราเกิดมาอาจจะไม่หล่อ ไม่สวย ไม่รวย ไม่เก่ง แต่เราอาจจะเป็นคนจิตใจดีงามล้ำเลิศก็เป็นได้ ดังนั้น ไม่ควรพยายามจะเป็นอย่างเขา แต่พยายามที่จะเป็นอย่างเรานั่นแหละ ให้ดีที่สุด แล้ววันหนึ่งเราจะประสบความสำเร็จ
ท่าน ว.วชิรเมธี :
สำหรับคนที่ถูกแฟนบอกเลิกแล้วพยายามจะลืมแต่ลืมไม่ได้ พระอาจารย์ขอแนะนำว่าเราต้องรู้เท่าทันสัจธรรมของชีวิต ที่บอกว่า ไม่มีใครได้ทุกอย่างอย่างใจหวัง และไม่มีใครได้ดังหวังทุกอย่างไป อันนี้เป็นธรรมดาของชีวิต
ประหนึ่งเมื่อเราผิดหวัง เราก็ควรจะเตือนตัวเองว่าชีวิตมันก็เป็นอย่างนี้ ไม่มีใครเกิดมาสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง ประการที่สองให้หาอะไรทำ อย่าไปอยู่เฉยๆ เพราะถ้าอยู่เฉยๆก็จะเอาแต่คิดถึงเขาอยู่ตลอดเวลา และประการที่สามคือจัดสภาพแวดล้อมใหม่ อย่าให้ไปอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิมๆ มิเช่นนั้นก็จะคิดถึงเขาอยู่ตลอดไป ทำสามประการนี้ได้เมื่อไหร่ พระอาจารย์เชื่อว่าชีวิตก็จะดีขึ้น
ท่าน ว.วชิรเมธี :
หลักในการคบเพื่อนนั้นมีง่ายๆ นั่นก็คือ คบใครก็ตาม ชีวิตของเราดีงามล้ำเลิศ ประเสริฐยิ่งขึ้นทุกที อุปมาดังหนึ่งคนก่อกำแพง ยิ่งก่อก็ยิ่งสูงอยู่บนกำแพง ถ้ากรณีเช่นนี้ แสดงว่าคนๆนั้นเป็นคนดี คบได้ แต่คบใครก็ตาม ยิ่งคบ ชีวิตของเรายิ่งตกต่ำ ย่ำแย่ อุปมาดังหนึ่งคนที่ขุดบ่อน้ำ ยิ่งขุดก็ต่ำลงไปอยู่ในบ่อที่ตัวเองขุด ถ้าคบแล้วแย่ลง ต่ำลง ก็เลิกคบ สรุปได้ว่า "คบแล้วดีขึ้นจงคบ คบแล้วแย่ลงก็เลิกคบ"
ท่าน ว.วชิรเมธี :
คำตอบสำหรับพระอาจารย์ก็คือ มองโลกในแง่ดี เปลี่ยนเขาให้เป็นครูฝึกของเรา เตือนตัวเองว่าก็ดีเหมือนกัน เขากำลังฝึกเราให้บำเพ็ญขันติบารมี คือการรู้จักอดทนอดกลั้น ถึงเขาท้าทายเราอยู่เรื่อยๆ เราก็บอกก็ดีเหมือนกันฝึกให้เราได้เรียนรู้อยู่ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤต ถ้าเรามองเขาเป็นครูฝึกเรา วันหนึ่งเราอาจจะรู้สึกดีกับคน ๆ นั้นก็ได้ แต่ถ้าเรามองว่า เขาเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเรา เราคงจะเกลียดเขาทุกวัน ซึ่งการมองลบเช่นนั้นไม่ช่วยอะไร
ท่าน ว.วชิรเมธี :
การโกหกที่จะถือว่าเป็นบาปโดยสมบูรณ์นั้น ต้องประกอบด้วย องค์ประกอบถึง 5 ประการ
1.เรื่องนั้นเป็นเรื่องเท็จ 2.เราตั้งใจจะกล่าวให้เป็นว่าเป็นเรื่องจริง 3.เราเปล่งวาจากล่าวออกมา 4.มีคนเชื่อตามที่เรากล่าววาจานั้น 5.มีผู้เสียหาย
ถ้าครบทั้ง 5 ประการนี้ ถือว่าเราทำบาปด้วยการพูดเท็จสมบูรณ์ 100 เปอร์เซ็น
แต่ถ้าเรากล่าวออกมาแล้วต้องการให้ผู้อื่นสบายใจ ไม่มีผู้เสียหาย เพราะเรากล่าวด้วยเจตนาดี ในกรณีเช่นนี้ก็เป็นบาป แต่บาปนั้นน้อยลงมาก เพราะเจตนาของเราไม่ต้องการจะทำร้ายใครให้เสียหายนั่นเอง